คงทราบกันดีว่า อัตราจำนวนประชากรในแต่ละประเทศนั้น มีผลต่อนโยบายและความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจ และสังคมเป็นสำคัญ ถ้าพลเมืองในประเทศมีมาก การขับเคลื่อนของแรงงานก็จะมีมากตามไปด้วย รวมไปถึงการจับจ่ายใช้สอย และการดูแลซึ่งกันและกันเป็นหมู่คณะ นั่นหมายถึงโอกาสในการขยับของตัวเลขทางเศรษฐกิจจะมีมากกว่าประเทศที่มีแรงงานไม่มาก และการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศอยู่ในอัตราที่จำกัด ที่สำคัญ ประเทศเหล่านั้นอาจต้องเผชิญกับคุณภาพชีวิตของประชากรที่ตกต่ำ ส่งผลไปถึงผลิตภาพของแรงงานอันถดถอยลง ต่างจากประเทศที่มีประชากรอยู่ในอัตราสูงซึ่งมักจะรวมตัวกันเป็นครอบครัวใหญ่ที่สามารถเกื้อกูลกันในด้านต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้คุณภาพชีวิตของพลเมืองเหล่านั้นอยู่ในเกณฑ์อันเหมาะสม ที่เชื่อมโยงไปถึงผลิตภาพของแรงงานที่ได้รับการยกระดับในตัวเอง และการดูแลที่ดีจากทางภาครัฐ
กระนั้น สวัสดิการด้านต่างๆ อาทิ สาธารณสุข การศึกษา หรือสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานต่างๆ ภาครัฐต้องสามารถดูแลประชากรของตนเองให้ทั่วถึง และมีความเท่าเทียมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพด้วย ไม่เช่นนั้นข้อได้เปรียบของอัตราประชากรที่สูงจะกลายมาเป็นข้อเสียเปรียบจากปัญหาด้านความเหลื่อมล้ำ อาชญากรรม และความยากจน ดังที่เคยเกิดขึ้นกับประเทศจีนเมื่อในอดีตที่ผ่านมา
ในปี 1959-1961 ประเทศจีนมีอัตราการเสียชีวิตของประชากรเนื่องจากความยากจน ไม่มีอาหารประทังชีวิต (รวมไปถึงการเสียชีวิตจากโรคที่มาจากการขาดสารอาหาร และการแย่งชิงอาหารของพลเมือง) ถึง 15 ล้านคน (นักวิชาการอ้างว่า อาจมากถึง 30 ล้านคน) ดังนั้น การเสียชีวิตของประชากรในจำนวนที่มหาศาลภายใน 2 ปีจึงกลายเป็นปัญหาใหญ่ของรัฐบาลจีนนั่นจึงนำไปสู่การหาทางออกด้วยการเริ่มหาทางควบคุมจำนวนประชากร เพื่อมิให้เกิดปัญหาความอดอยากของพลเมืองที่รุนแรงมากยิ่งขึ้นในอนาคต และเริ่มในระดับท้องถิ่นด้วยการกำหนดให้ข้าราชการ หรือสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีน ห้ามมีลูกเกินกว่า 1 คนโดยกำหนดบทลงโทษเป็นการไล่ออกจากงานบ้าง การปรับเงิน การลดเงินสวัสดิการจากรัฐ ก่อนจะไปสู่การบังคับให้ทำแท้ง หรือทำหมัน สร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนใต้อาณัติในแต่ละท้องถิ่นเป็นอย่างมาก
ในปี 1980 ทางการจีนเริ่มประกาศ “นโยบายลูกคนเดียว” มาบังคับใช้อย่างเป็นทางการ โดยมีส่วนกลางคอยกำกับการปฏิบัติงานของทางท้องถิ่นอย่างเข้มข้น กระนั้น ความไม่พอใจของ
พลเมืองก็ยังคงมีอยู่ แม้ว่าจะมีการผ่อนปรนกระบวนการให้ยืดหยุ่นลงมาบ้างแล้วก็ตาม อีกทั้งด้วยค่านิยมชายเป็นใหญ่ของชาวจีน ทำให้ข้อจำกัดลูกคนเดียวนั้นมีผลกระทบต่อลูกสาวเป็นอย่างมาก เพราะครอบครัวส่วนใหญ่ต้องการลูกชาย เพื่อเอาไว้ช่วยงาน และกลายเป็นแรงงานที่มีคุณภาพในอนาคต ตามค่านิยมแต่โบราณนานมา (บางครอบครัวก็พยายามมีเพื่อนำไปขายให้กับครอบครัวอื่น) ทำให้ลูกสาวที่เกิดมา บ้างก็ถูกทำให้เสียชีวิต บ้างก็ถูกนำไปทิ้ง บ้างก็ไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่อันเหมาะสม ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้เองที่ทำให้ประชากรของจีนในรุ่นต่อๆ มาจึงขาดความสมดุลระหว่างหญิงกับชายอย่างน่าตกใจ และนำมาสู่ปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน คือการขาดแคลนของประชากร และแรงงาน ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และสังคม
ในปี 2000 จีนมีประชากรเพิ่มขึ้นจากปี 1980 ประมาณ 260 ล้านคน(1,266 ล้านคน) และในปี 2010 เพิ่มขึ้นมาอีก 74 ล้านคน (1,340 ล้านคน) ซึ่งถือว่า นโยบายลูกคนเดียวควบคุมการเพิ่มของจำนวนประชากรได้ผล แต่หลังจากที่รัฐบาลจีนเริ่มผ่อนคลายมาตรการ และในปี 2013 ได้ประกาศให้บางครอบครัวสามารถขออนุญาตมีลูกคนที่สองได้ กลับพบว่ามีเพียง 1 ล้านคู่เท่านั้นที่มาขออนุญาต ทำให้ฝ่ายวิเคราะห์นโยบายมองว่า ถ้าสถานการณ์ของประชากรยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป จะทำให้เกิดการสูญเสียแรงงานตามอัตราที่ควรจะเป็นไปอย่างมหาศาล พร้อมๆ กับจำนวนคนสูงอายุที่จะเพิ่มขึ้นๆ ในทุกๆ ปี ซึ่งท้ายที่สุด ก็จะสร้างปัญหาสังคมสูงวัยตามมา ทำให้รัฐต้องเสียงบประมาณอย่างมหาศาลในการดูแล โดยที่เม็ดเงินจากภาคเศรษฐกิจก็จะหดตัวลงไปเพราะจำนวนแรงงานหายไปจากระบบที่ควรจะเป็น ที่สำคัญ การนำเข้าแรงงานจากต่างประเทศ ก็อาจจะสร้างปัญหาใหม่ รวมไปถึงความสมดุลระหว่างจำนวนผู้หญิงกับผู้ชาย ก็จะทำให้ความรุนแรงทางเพศ และการค้ามนุษย์ กลายเป็นปัญหาสังคมเกิดขึ้นตามมา
ในปี 2016 รัฐบาลจีนได้ยกเลิกนโยบายลูกคนเดียว และประกาศให้ชาวจีนสามารถมีลูก 2 คนได้ และในปีนั้นเองจากการอ้างอิงของรัฐมนตรีช่วยกระทรวงสาธารณสุข และวางแผนครอบครัว“หวาง เป่ยอาน” ได้รายงานว่า จีนมีสถิติเด็กเกิดใหม่มากถึง 18.46 ล้านคน ซึ่งเป็นอัตรามากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมาที่สำคัญอัตราการเกิดของเด็กผู้ชายอยู่ที่1.7 คน ต่อเด็กผู้หญิง 1 คน ทำให้การปรับสมดุลประชากรชายหญิงของจีนเริ่มมีความหวังมากขึ้น
ในปี 2018 รายงานอัตราการเกิดของทารกชาวจีนอยู่ที่ 15.23 ลดลงจากปี 2017 กว่า 2 ล้านคน ที่น่ากังวลก็คือ มีข้อมูลการสำรวจความต้องการมีลูกคนที่ 2 ของชาวจีนออกมาว่ากว่า 50% ตั้งใจจะมีลูกแค่คนเดียว (ยังไม่รวมคนที่ไม่คิดมีลูก) เนื่องจากปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย ที่อัตราค่าครองชีพในจีนสูงขึ้น การรักษาพยาบาลแพง และเข้าถึงยาก รวมไปถึงค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา ที่ผู้ปกครองส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่าถ้าอยากให้ลูกมีอนาคต การมีลูกคนเดียวและทุ่มเทเงินค่าเล่าเรียนให้กับเขาทั้งหมด จะเป็นประโยชน์มากกว่าการมีลูกสองคน แล้วต้องเฉลี่ยค่าการศึกษาออกไป ทั้งนี้ แม้ว่ารัฐบาลจีนจะเพิ่มเงินพิเศษสำหรับครอบครัวที่มีลูกสองคน และบริการพิเศษสำหรับคุณแม่ลูกสองแล้วก็ตาม แต่การตอบรับนโยบายเพิ่มจำนวนประชากรจากประชาชนก็ดูเหมือนจะค่อยๆ ลดความสนใจลง
และในปีนี้ 2021 รัฐบาลจีนก็ออกมาสนับสนุนนโยบายให้ครอบครัวชาวจีนมี “ลูกสามคน” พร้อมมาตรการสนับสนุนนโยบายนี้ อาทิ ลดค่าเล่าเรียนช่วยเหลือด้านภาษี และที่อยู่อาศัย รวมไปถึงการให้ความสนับสนุนด้านการศึกษา(ยังไม่มีการเผยรายละเอียดที่ชัดเจนออกมา) หลังจากในปี 2020 จีนมีอัตราการเกิดเพียง 12 ล้านคน ลดลงจากปี2019 ถึง 20% ในขณะที่จำนวนผู้มีอายุระหว่าง 15-59 ปี ลดต่ำลงกว่า 900 ล้านคน คิดเป็นประมาณ 63% ของประชากร นั่นแสดงว่า “ปัญหาสังคมสูงวัย”ในจีนได้มาจ่ออยู่ตรงหน้าประตูบ้านแล้วนอกจากนั้น รัฐบาลจีนยังได้หารือกันเกี่ยวกับการยืดอายุของการเกษียณการทำงานออกไป รวมไปถึงการยกระดับสถานบริการดูแลเด็ก รวมไปถึงสิทธิประโยชน์ทางกฎหมายของแม่เกี่ยวกับการลาคลอดเป็นต้น
ทั้งหมดนี้ เป็นเส้นทางนโยบายการดูแลจำนวนประชากรของจีนที่ผ่านมาตั้งแต่การควบคุม และการเพิ่ม เพื่อเชื่อมโยงไปถึงการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ ซึ่งถ้าถอดบทเรียนของจีนในการดำเนินนโยบายดังกล่าวนี้ ก็จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า การปรับเพิ่มหรือลดจำนวนประชากร มิสามารถทำได้โดยปราศจากการสนับสนุนในด้านอื่นๆ ที่ครอบคลุมต่อคุณภาพชีวิตของประชากรในด้านต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งทางสาธารณสุข การศึกษา และสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เพราะการเปลี่ยนแปลงของประชากรโดยไม่มีความสมบูรณ์ทางด้านคุณภาพชีวิตมารองรับ ย่อมนำมาซึ่งความไม่พอใจ การไม่ปฏิบัติตาม และนำไปสู่ความล้มเหลวทางนโยบาย ซึ่งเชื่อมโยงไปสู่คุณภาพทางการบริหารจัดการของภาครัฐด้วย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี