“ชาวญี่ปุ่นกำลังรู้สึกถึงความไม่มั่นคง และอาจหงุดหงิดเมื่อมีการกล่าวถึงโอลิมปิก ซึ่งนั่นทำให้เกิดเสียงคัดค้านอันมากขึ้น ดังนั้น ความท้าทายที่สำคัญสูงสุด คือ เราจะสามารถควบคุม และบริหารจัดการเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายของผู้คนได้อย่างไร หากเกิดการแพร่ระบาดขึ้นในช่วงของการแข่งขัน และถือว่าเป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน สำหรับฉันเชื่อว่า เรามีความพร้อมในการขับเคลื่อนให้การแข่งขันโอลิมปิกสามารถเกิดขึ้นได้ โดยที่ไม่มีผู้ชมอยู่ในสถานที่แข่งขัน” นี่เป็นคำยืนยันของ “เซโกะ ฮาชิโมโตะ” อดีตนักปั่นจักรยาน และสเก็ตน้ำแข็ง ทีมชาติญี่ปุ่นวัย 56 ปี ซึ่งเพิ่งเข้ามารับตำแหน่งประธานฝ่ายจัดการแข่งขันมหกรรมกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 2020หรือ “โตเกียวเกมส์” เมื่อต้นปี 2021 นี้ท่ามกลางการต่อต้านจากกลุ่มตัวแทนทางสาธารณสุขของญี่ปุ่น และประชาชนชาวโตเกียวอย่างเข้มข้น
โตเกียว 2020 จะเริ่มต้นในปีนี้ตั้งแต่วันที่ 23 กรกฎาคม และจะไปสิ้นสุดลงในวันที่ 8 สิงหาคม 2021 (หลังจากมีการเลื่อนมาจากปีที่แล้ว ด้วยสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19) ล่าสุดได้มีการเปิดเผยว่า ทางองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้เข้าร่วมในการดูแลทางด้านสาธารณสุขอย่างใกล้ชิด และร่วมมือกับทางคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) จัดทำ Playbook หรือคู่มือป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19ในระหว่างการจัดงานโตเกียว 2020 ขึ้นมา ซึ่งจะครอบคลุมแนวปฏิบัติตัวของนักกีฬาในทุกประเภท รวมไปถึง Staff (ทีมผู้ดูแล) ผู้ฝึกสอน ทีมแพทย์ สปอนเซอร์ และสื่อมวลชน ที่เดินทางเข้ามาพักค้างในระหว่างการแข่งขันดำเนินไปในช่วง 1 เดือนที่กำหนดไว้ภายในหนังสือเล่มนี้จะแนะนำกระบวนการเว้นระยะห่าง หรือรักษาระยะห่าง ระหว่างบุคคลต่อบุคคล หรือบุคคลต่อกลุ่ม ในกรณีต่างๆ รวมไปถึงการหลีกเลี่ยงการสัมผัสต่อบุคคล สิ่งของ หรือพื้นผิวเป็นหลัก
นอกจากนั้น ทาง WHO ร่วมกับ IOC ได้ส่งทีมมาดูแลด้านสุขลักษณะอันปลอดภัยทั้งในสถานที่แข่งขัน สถานที่ฝึกซ้อม รวมไปถึงหมู่บ้านนักกีฬาอย่างละเอียดถี่ถ้วน ทั้งก่อนการเปิดมหกรรมโอลิมปิก และตลอดการแข่งขันที่จะดำเนินไปในอนาคต ที่สำคัญ นักกีฬา และบุคลากรที่เกี่ยวข้องของทุกประเทศ จะต้องได้รับการตรวจเชื้อโควิด-19 ก่อนเดินทางตามมาตรฐานที่ WHO กำหนด และเมื่อมาถึงญี่ปุ่นจะมีการทดสอบอีกครั้ง จากนั้นในระหว่างที่มีการแข่งขัน ทุกทีมของทุกประเทศจะได้รับการตรวจวัดผลเกี่ยวกับเชื้อไวรัสในทุกๆ วันเพื่อความปลอดภัย
สำหรับเรื่องของการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ทุกฝ่ายที่มีส่วนร่วมในการจัดการแข่งขันครั้งนี้เห็นตรงกันที่จะไม่กำหนดให้นักกีฬาและบุคลากรจากทุกประเทศที่มาเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ ต้องได้รับวัคซีนป้องกันโควิดมาก่อน เนื่องจากการเข้าถึงวัคซีนในแต่ละประเทศนั้นมีความแตกต่างกันไปในเรื่องของโอกาส และที่สำคัญ แม้ทาง IOC จะพยายามจัดหาวัคซีนจากประเทศจีนและทาง Pfizer-BioNTech ได้บ้างแล้ว แต่ก็มีข้อจำกัดในหน่วยงานสาธารณสุขของแต่ละประเทศ สำหรับการอนุมัติให้นำไปใช้แก่ประชากรของเขา กระนั้นทาง IOC ก็ขอความร่วมมือสำหรับบุคคลที่จะมายังโตเกียว 2020 ซึ่งสามารถเข้าถึงวัคซีนได้ ให้ดำเนินการเรื่องวัคซีนให้เรียบร้อย และให้คำมั่นว่า จะพยายามให้บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับโตเกียว 2020 ได้รับวัคซีนเกินกว่า 80% ของจำนวนรวมทั้งหมดให้ได้
รวมไปถึงรัฐบาลญี่ปุ่นก็เดินหน้าระดมฉีดวัคซีนแก่ประชากรในประเทศกันอย่างแข็งขัน โดยเฉพาะในพื้นที่โตเกียว และเมืองใหญ่ต่างๆ โดยตั้งเป้าเอาไว้ว่า ตั้งแต่มิถุนายนเป็นต้นไป ต้องฉีดได้วันละ 1 ล้านโดส ส่วนคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งญี่ปุ่น ได้ออกมาประกาศว่า นักกีฬาและเจ้าหน้าที่ที่จะเข้าร่วมงานโอลิมปิกจะได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน ที่ผ่านมา และคาดว่าจะมีผู้เข้ารับการฉีดวัคซีนประมาณ 1,600 คน จากแพทย์ประจำทีม ทั้งนักกีฬา ผู้ฝึกสอน และบุคลากรที่ต้องมีส่วนร่วมในงานใหญ่ครั้งนี้
“เป็นไปไม่ได้ ที่รัฐบาลญี่ปุ่นจะสามารถจัดงานโตเกียวโอลิมปิก ได้อย่างปลอดภัย เพราะการเดินทางเข้ามาจากต่างประเทศ จะนำพามาซึ่งโควิดสายพันธุ์ต่างๆ ซึ่งมีอัตราการระบาดรวดเร็วรวมถึงอัตราการเสี่ยงต่อการเสียชีวิตที่มากกว่าเชื้อโควิดเดิม อีกทั้งความเสี่ยงเกี่ยวกับวัคซีน หรือการรักษาที่อาจไม่มีประสิทธิภาพพอ ทั้งหมดนี้เป็นความเสี่ยงที่เราไม่อาจปฏิเสธได้เลย” ส่วนหนึ่งจากแถลงการณ์ของสหภาพบุคลากรทางการแพทย์แห่งญี่ปุ่น สื่อสารได้อย่างชัดเจนและตรงไปตรงมาว่า พวกเขาไม่เชื่อมั่นในการบริหารจัดการของผู้ที่ดูแลการจัดมหกรรมโอลิมปิก และเห็นว่า ญี่ปุ่นยังไม่ถึงเวลาที่จะเปิดประเทศรับใครเข้ามาในตอนนี้
ส่วน “Asahi Shimbun” หนังสือพิมพ์รายวันในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นพันธมิตรอย่างเป็นทางการของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ก็นำเสนอข้อเรียกร้องให้ญี่ปุ่นยกเลิกมหกรรมกีฬาที่จะเกิดขึ้นอย่างเผ็ดร้อนบนหน้ากระดาษของเขา พร้อมๆ กับพลเมืองในหลายพื้นที่ของกรุงโตเกียว ก็ได้ออกมารวมตัวกันแสดงออกถึงความไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลให้ความสนใจต่อโอลิมปิกมากกว่าชีวิตของประชาชน ผ่านป้ายผ้าและการตะโกนโห่ร้องอย่างต่อเนื่อง
นี่น่าจะเป็นเผือกร้อนของ“โยชิฮิเดะ ซูงะ” นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของญี่ปุ่น หลังจากเข้ามารับงานต่อสู้กับโควิด-19 ต่อจาก“ชินโสะ อาเบะ” อดีตนายกฯ ที่ลาออกจากตำแหน่งไปเนื่องจากปัญหาด้านสุขภาพอันเรื้อรัง ซึ่งก่อนหน้านี้ทางรัฐบาลของซูงะ ก็พยายามที่จะคืนความปกติให้กับชาวญี่ปุ่นอย่างเต็มความสามารถ หลังจากปิดประเทศ ปิดเมือง และประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อให้คนอาศัยอยู่ในพื้นที่ของตัวเองอย่างเข้มงวด แต่เมื่ออัตราการติดเชื้อของคนในประเทศยังคงไม่ลดลงมาในอัตราที่น่าวางใจ จำนวนเตียงในการรักษาโควิดก็อยู่ในขั้นเกือบเต็มขีดจำกัด และการระดมฉีดวัคซีนก็ไม่คืบหน้าเท่าไหร่นัก รวมไปถึงปัญหาทางการดำรงชีวิตและเศรษฐกิจของชาวบ้านก็ตกไปอยู่ในสภาวะที่ฝืดเคือง ทั้งหมดนี้จึงกลายเป็นความกลัวของพลเมือง ต่อการบริหารงานของรัฐบาล อันจะนำมาซึ่งความผิดพลาด และเสียหายอีกครั้ง แม้ว่าจะมีการเริ่มเปิดสนามกีฬาต่างๆ ทดลองให้คนเข้าชมได้อย่างราบรื่น หรือการตัดสินใจใช้การถ่ายทอดสดสำหรับมหกรรมครั้งนี้เท่านั้น สำหรับกองเชียร์ต่างชาติ รวมไปถึงมาตรการอันเข้มงวดที่ได้นำเสนอมาในตอนต้น
ท้ายที่สุด นายกรัฐมนตรีซูงะ ยืนยันแล้วว่า 23 กรกฎาคมนี้ โตเกียวจะมีมหกรรมโอลิมปิกเกิดขึ้น และมันจะเป็นสัญลักษณ์ของมนุษยชาติ ต่อการเอาชนะโรคโควิด-19 ซึ่งแน่นอนว่า แผนที่ตามมาของญี่ปุ่นหลังงานใหญ่ครั้งนี้ ที่หลายฝ่ายทราบกันดีก็คือ ภารกิจเปิดประเทศ เพื่อเดินเครื่องเศรษฐกิจของตัวเองอย่างเต็มกำลังอีกครั้ง แต่นั่นก็อยู่ในเงื่อนไขของมหกรรมกีฬาอันยิ่งใหญ่ที่ว่า จะไม่พาญี่ปุ่นดิ่งลงสู่วิกฤติไวรัสอีกรอบ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี