ในแวดวงของนักวิทยาศาสตร์ด้านไวรัสวิทยาของโลก มีการกล่าวถึงการทดลอง “ฉีดวัคซีนแบบไขว้ชนิด” (Heterologous prime-boostCOVID-19 vaccination) คือการใช้วัคซีนชนิดหนึ่งเป็นเข็มแรก และใช้วัคซีนอีกชนิดเป็นเข็มสอง หรืออาจะมีเข็มสามตามมา เพื่อเป็นการกระตุ้น (Booster) ซึ่งก็เริ่มมีการทดลองไปแล้วในหลายประเทศ จนกลายมาเป็นความสนใจของโลก และกำลังจะเป็นแนวทางอันชัดเจนในการต่อสู้กับโควิดกลายพันธุ์ ก็มาจากการที่ภาพของ “อังเกลา แมร์เคิล” นายกรัฐมนตรีประเทศเยอรมนี ปรากฏออกสื่อของเยอรมันเอง และทั่วโลก เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2021 พร้อมการรายงานว่า เธอกำลังรับวัคซีนต้านเชื้อไวรัสโควิดของโมเดอร์นา (Moderna) ซึ่งเป็นเข็มที่สอง หลังจากที่เข็มแรกนั้น เธอฉีดวัคซีนของแอสตราเซเนกา(AstraZeneca) แน่นอนว่า การทดลองแบบฉีดวัคซีนไขว้ชนิดอาจยังไม่มีบทสรุปอันชัดเจน แต่เมื่อผู้นำประเทศที่ได้รับฉายาว่า “หญิงแกร่งแห่งยุโรป” อย่างแมร์เคิลออกมาสร้างความเชื่อมั่นเช่นนี้การฉีดวัคซีนแบบไขว้ชนิดต่อจากนี้น่าจะกลายเป็นแนวทางหลักในหลายประเทศ ทั้งที่ต้องเผชิญกับไวรัสกลายพันธุ์ หรือสายพันธุ์ดั้งเดิมก็ตาม
ว่ากันว่า ปัจจุบันมีมากถึง 26 ประเทศที่เริ่มเดินหน้ากระบวนการฉีดวัคซีนแบบไขว้ต่อประชาชนไปแล้ว อาทิ สหราชอาณาจักร สเปน อิตาลี สวีเดน เกาหลีใต้ และที่ชัดเจนที่สุดก็คือ “ประเทศแคนาดา” เมื่อคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านภูมิคุ้มกันแห่งชาติแคนาดา (National Advisory Committee on Immunization : NACI) ออกประกาศอนุญาตให้ประชาชนสามารถเข้ารับวัคซีนต้านโควิด เข็มแรกและเข็มที่สองต่างชนิดกันได้ แต่จำกัดให้เพียงวัคซีนแค่ 3 ชนิดเท่านั้น คือ ไฟเซอร์ (Pfizer) โมเดอร์นา และแอสตราเซเนกา
สำหรับเหตุผลของแคนาดานั้น มิได้ให้น้ำหนักไปถึงการปรับศักยภาพของภูมิที่ได้จากวัคซีนในการสู้กับไวรัสกลายพันธุ์เท่าไหร่นัก แต่เน้นไปที่ประเด็นการหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงกรณี “ลิ่มเลือดอุดตัน” จากแอสตราเซเนกา หรือผลข้างเคียงเกี่ยวกับกล้ามเนื้อหัวใจของวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอ (mRNA) อย่างไฟเซอร์ และโมเดอร์นา รวมไปถึงการแก้ปัญหาความขาดแคลนวัคซีนบางชนิด หลังจากที่ใช้ในการฉีดเข็มแรกกับประชาชนไปแล้ว ซึ่งหลายประเทศในยุโรปก็ใช้แนวทางฉีดวัคซีนแบบไขว้ชนิดก็ด้วยเหตุผลที่คล้ายกันนี้
“ประชาชนที่เข้ารับวัคซีนโดสแรกจากแอสตราเซเนกา ยังสามารถเข้ารับโดสที่สองจากแอสตราเซเนกาได้อยู่ หรืออาจจะเข้ารับวัคซีนโดสที่สองจากไฟเซอร์ หรือโมเดอร์นา ที่เป็นวัคซีนต่างชนิดกันได้อย่างปลอดภัย หรือหากวัคซีนโดสแรกที่ได้รับเป็นวัคซีนจากไฟเซอร์ หรือโมเดอร์นาก็สามารถเข้ารับวัคซีนโดสที่สองจากแบรนด์ใดก็ได้ใน 2 แบรนด์นี้ เนื่องจากเป็นวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอ เช่นเดียวกัน แต่อย่างไรก็ตาม NACI ยังอยากแนะให้ประชาชนเข้ารับวัคซีนต้านโควิด-19 ชนิดเดียวกันทั้งสองโดส โดยเข้ารับวัคซีนต่างชนิดกันได้ในสถานการณ์ที่จำเป็น อาทิ วัคซีนชนิดเดียวกับโดสแรกไม่สามารถหาได้หรือมีเหตุขัดข้องในช่วงเวลานั้น”
สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า ที่ “ประเทศสเปน” ได้ออกรายงานผลการศึกษาของ “โครงการคอมไบแวคซ์” โดยใช้อาสาสมัคร อายุระหว่าง 18-59 ปี จำนวน 670 คน ซึ่งทั้งหมดได้รับวัคซีนแอสตราเซเนกาในเข็มแรก และในจำนวนนี้450 คน ได้รับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์เป็นเข็มที่ 2 พบว่า มีความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูง มีค่าแอนติบอดี อิมมูโนโกลบูลินจี (IgG) ในกระแสเลือด สูงกว่า 30-40 เท่า เมื่อเทียบกับกลุ่มตัวอย่างที่ได้รับวัคซีนแอสตราเซเนกาเพียงเข็มเดียวและมีค่าแอนติบอดีเพิ่มขึ้นถึง 7 เท่า ซึ่งมากกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาทั้ง 2 เข็ม (พบแอนติบอดีเพิ่มขึ้น 2 เท่า) โดยร้อยละ 1.7 ของผู้เข้าร่วมการทดสอบพบผลข้างเคียงรุนแรง เช่น ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ และปวดเมื่อยตามตัว
ส่วนที่ “ประเทศอังกฤษ” ในโครงการ“มิกซ์ แอนด์ แมทช์” ได้รายงานผลการศึกษา พบว่า ประชาชนที่ได้รับวัคซีนไฟเซอร์หลังจากได้รับวัคซีนของ แอสตราเซเนกามีอาการข้างเคียงไม่มาก เช่น ปวดหัว ตัวสั่นสำหรับผลสรุปเบื้องต้นของงานวิจัยการฉีดวัคซีนแบบไขว้ชนิดในสองประเทศนั้น พบว่า การใช้วัคซีนจากแอสตราเซเนกาและจากวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอ (ไฟเซอร์ และโมเดอร์นา) เพื่อให้ครบสองเข็มนั้น มีความปลอดภัย และสามารถต้านไวรัสโควิด-19 ได้ ไม่ว่าจะฉีดวัคซีนชนิดไหนก่อนก็ตาม แต่มีแนวโน้มที่อาจจะเกิดผลข้างเคียงบ่อยขึ้น เมื่อเทียบกับการเข้ารับวัคซีนชนิดเดียวกันทั้งสองเข็ม (หลังเข้ารับวัคซีนเข็มที่สองแล้ว)
นอกจากนั้น ที่ “ประเทศรัสเซีย” ก็มีรายงานข่าวออกมาว่า สถาบันวัคซีนอย่างเป็นทางการ ได้ทำการทดลองการฉีดวัคซีนแบบไขว้ชนิดเช่นกัน โดยใช้แอสตราเซเนกาในเข็มแรก และสปุตนิก ไฟว์ (Sputnik V) เป็นเข็มที่สอง พบว่าสามารถต้านไวรัสโควิดได้ และให้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัย
สำหรับความเห็นของทาง WHO ต่อการฉีดแบบไขว้ชนิดนั้น “ดร.เคทโอไบรอัน” หัวหน้าฝ่ายวัคซีนขององค์การอนามัยโลก ได้ออกมาให้ข้อมูลในทำนองที่ว่า วัคซีนโควิด-19 ที่ได้รับอนุมัติใช้เพื่อการฉุกเฉินทั่วโลกตอนนี้ ถูกออกแบบมาเพื่อจุดประสงค์ในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของมนุษย์ ในการต่อสู้กับไวรัสโควิดเหมือนกัน แต่แตกต่างกันที่กระบวนการผลิตแอนติบอดี ดังนั้น หากยึดตามพื้นฐานการทำงานของวัคซีน ก็ไม่น่าจะมีปัญหาในการใช้วัคซีนต่างชนิดกันในการป้องกันโควิด
กระนั้น ข้อมูลทั้งหมดที่นำมาเสนอต้องย้ำอีกครั้งว่า อยู่ในช่วงของการอนุมัติฉุกเฉิน ทำให้การนำมาใช้ของวัคซีนในแต่ละชนิดเร็วกว่ากระบวนการปกตินั่นหมายถึง การใช้แบบไขว้ชนิด เป็นการพัฒนาที่เกินไปกว่ากรอบของระยะเวลาที่ควรจะเป็น จึงอาจไม่สามารถรับรองความปลอดภัยได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเท่าที่ระบบการอนุมัติวัคซีนในสถานการณ์ปกติจะทำได้ และผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยของการฉีดวัคซีนแบบไขว้ชนิด ยังคงอยู่ในการจำกัดกระบวนการผลิตแบบชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอหรือชนิดสารพันธุกรรม (ไฟเซอร์ และโมเดอร์นา) และชนิดใช้ไวรัสเป็นพาหะ หรือ Recombinant viral vector(แอสตราเซเนกา และสปุตนิก ไฟว์) เท่านั้น ส่วนการใช้วัคซีนชนิดเชื้อตาย (ซิโนแวค และซิโนฟาร์ม) และวัคซีนที่ทําจากโปรตีนส่วนหนึ่งของเชื้อ หรือProtein subunit (โนวาแวกซ์) ยังคงอยู่ในช่วงของการทดลอง ซึ่งยังไม่มีผลลัพธ์ออกมายืนยันในประสิทธิภาพต่อการต้านไวรัสโควิด และผลข้างเคียง
แต่ประเทศที่ทำการทดลองดังกล่าว ก็หวังให้ผลลัพธ์ที่ออกมาไม่ต่างจากการใช้ไฟเซอร์ โมเดอร์นา แอสตราเซเนกาและสปุตนิก ไฟว์ แบบไขว้ชนิดกัน เพราะนั่นหมายถึงศักยภาพที่จะเพิ่มขึ้นในการต่อสู้กับไวรัสโควิดกลายพันธุ์(ในระดับหนึ่ง) และการจัดการกับปัญหาเรื่องขาดแคลนวัคซีนบางชนิด รวมไปถึงอาการแพ้สำหรับบางคน และบางช่วงอายุได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต่อสถานการณ์อันเป็นจุดเปลี่ยนไปสู่ความหวังในการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในระดับพื้นที่ ระดับประเทศ หรือระดับโลกเช่นนี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี