ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ประเทศจีนมีความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับประเด็นของ “เงินดิจิตอล” ที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นในสกุลเงินต่างๆ ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมไปทั่วโลก และสกุลเงินของตัวเอง ที่ทางรัฐบาลจีนได้ทำการพัฒนามาตั้งแต่ปี 2013 จนในปัจจุบันเริ่มนำมาให้บริการต่อประชาชนไปบ้างแล้ว
เว็บไซต์ข่าวออนไลน์ของกรมประชาสัมพันธ์จีน ได้ออกมาให้ข้อมูลว่าตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน เป็นต้นไป ระบบรถไฟใต้ดินจะเปิดให้บริการจ่ายค่าตั๋วโดยสารเป็น “หยวนดิจิตอล” ได้ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ในหลายเมืองก็เริ่มมีการประกาศบริการในลักษณะเดียวกันไปบ้างแล้ว รวมถึงการทดลองใช้เงินดิจิตอลที่ควบคุมโดยธนาคารกลางของจีนกับการใช้จ่ายผ่านร้านค้าทั่วไป หรือตู้ขายสินค้าอัตโนมัติ (ที่ได้รับการกำหนด) ผ่านการแจกหยวนดิจิตอลในหลายรูปแบบจากทางรัฐบาลจีน อาทิ อั่งเปา (เงินของขวัญ) ในวันสำคัญทางวัฒนธรรม หรือการจับรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นต้น นอกจากนั้นธนาคารของรัฐบาล 2 แห่ง ได้ออกประกาศเตรียมติดตั้ง ATM กว่า 3,000 ตู้ เพื่อสนับสนุนการทำธุรกรรมหยวนดิจิตอลในกรุงปักกิ่ง พร้อมการประชาสัมพันธ์จากสื่อของทางการจีนในรูปแบบอันเป็นไปเพื่อให้ประชาชนคลายความกังวลเกี่ยวกับการถูกสอดแนมจากการใช้ธุรกรรมทางการเงินผ่านหยวนดิจิตอลที่เกิดขึ้น
หยวนดิจิตอล เป็นเงินดิจิตอลในรูปแบบของ Central Bank Digital Currency (CBDC) หรือการมีธนาคารกลางของประเทศเป็นหน่วยงานดูแลนั่นหมายความว่า ทางรัฐบาลจีนสามารถควบคุมทิศทางความเคลื่อนไหวของเงินดิจิตอลชุดนี้ได้ ไม่อิสระเหมือนเงินดิจิตอลประเภททั่วไป อาทิ บิตคอยน์อีเธอเรียม ด็อกคอยน์ ฯลฯ ซึ่งคงคุณสมบัติของความอิสระทางการจับจ่ายใช้สอย ด้วยรูปแบบที่ไร้ตัวกลางในการควบคุม แต่ดูแลและเชื่อมโยงต่อกันด้วยระบบของบล็อกเชน (Blockchain) ที่ทำให้การทำธุรกรรมต่างๆ ตรวจสอบได้ และรวดเร็ว และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งในการที่รัฐบาลจีนพยายามดันให้หยวนดิจิตอลออกมาให้บริการอย่างเต็มรูปแบบแก่ประชาชนในประเทศภายในปี 2022 โดยใช้งานโอลิมปิกภาคฤดูหนาวเป็นหมุดหมายในการเริ่มต้น
เพราะก็อย่างที่ทราบกันดีว่า แม้การเดินหน้าไปสู่ “เงินดิจิตอล” จะเต็มไปด้วยความสะดวก ประหยัด (ต้นทุนการผลิตเหรียญและธนบัตร) และรวดเร็วแต่การปล่อยให้เงินเคลื่อนที่ได้ โดยไร้การตรวจสอบหรือควบคุมจากหน่วยงานกลาง ก็ไปเอื้อให้เกิดธุรกรรมทางการเงินที่ไม่ปกติ อาทิ การฟอกเงิน หรือการคอร์รัปชั่น อันส่งผลไปถึงอัตราการก่ออาชญากรรมทางการเงิน และความเชื่อมโยงไปยังพฤติกรรมนอกกฎหมายในรูปแบบอื่นๆ ที่จะเพิ่มมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว ซึ่งด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้เอง นอกจากการเร่งเปิดตัวเงินดิจิตอลของตัวเองในรูปแบบCBDC แล้ว ในอีกทางรัฐบาลจีน จึงพยายามปิดฉากความเชื่อมโยงใดๆ อันเกี่ยวเนื่องกับสกุลเงินดิจิตอลอื่นๆ ในธุรกรรมทางการเงินของประชาชนในประเทศ ตั้งแต่การชำระสินค้า บริการ การซื้อขายลงทุนในสกุลเงินดิจิตอลเหล่านั้น ไปจนถึงการปราบปรามอุตสาหกรรมการขุดคริปโตเคอร์เรนซี่ (ปิดเหมืองเหรียญดิจิตอล)
“การที่ราคาคริปโตเคอร์เรนซี่ พุ่งสูงขึ้นมาก และตกลงมาอย่างรวดเร็ว เมื่อเร็วๆ นี้ ประกอบกับการซื้อขายเพื่อเก็งกำไรในสกุลเงินดิจิทัล เริ่มฟื้นตัวกลับมา ทำให้นำไปสู่ความไม่ปลอดภัยต่อทรัพย์สินของประชาชน และรบกวนความสงบเรียบร้อยทางเศรษฐกิจ และธุรกิจการเงิน ...ที่สำคัญ สกุลเงินเสมือนจริงนั้นไม่ได้มีคุณค่าที่แท้จริงอยู่เลย ขณะที่ราคาของเงินนั้นถูกบิดเบือนได้ง่าย และสัญญาการซื้อขาย ก็ไม่ได้รับการคุ้มครองภายใต้กฎหมายของจีน”
นี่เป็นเหตุผลที่รัฐบาลจีนหยุดทุกธุรกรรมเกี่ยวกับเงินดิจิตอลสกุลอื่นๆ ซึ่งสมาคมการเงินอินเตอร์เนตแห่งชาติจีน (National Internet Finance Association of China) สมาคมธนาคารจีน (China Banking Association) และสมาคมด้านการชำระเงินและหักบัญชีจีน (Payment and Clearing Association of China) ได้ออกแถลงการณ์ร่วมสนับสนุน ตามมาด้วยการประกาศห้ามจากทางการจีน ห้ามไม่ให้สถาบันการเงินทุกแห่งรับฝาก ตั้งกองทรัสต์ หรือให้บริการใดๆ เกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล หรือแม้แต่ออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เกี่ยวเนื่องกับคริปโตเคอร์เรนซี่ และแน่นอนว่า การสั่งปิดเหมืองขุดคริปโตเคอเรนซี่ ก็ทำให้อัตราการผลิตบิตคอยน์(สกุลเงินดิจิตอลยอดนิยมอันดับหนึ่งของโลก) หายไปกว่า 90% ทั้งๆ ที่ในปี 2020 เหมืองดิจิตอลในจีนมีสัดส่วนในการขุดหาบิตคอยน์ได้มากถึงกว่า 65% ของเหมืองดิจิตอลทั่วโลกก็ตาม
แม้ว่า ทางรัฐบาลจีนจะอ้างเหตุผลในการกวาดล้างระบบสกุลเงินดิจิตอลอื่นๆ เป็นไปเพื่อปราบปรามการฟอกเงิน และธุรกรรมอันไม่โปร่งใส รวมไปถึงป้องกันความเสี่ยงด้านการลงทุนของประชาชนและปกป้องสิ่งแวดล้อมที่ได้รับผลกระทบจากการใช้พลังงานในการขุดเหมืองคริปโตเคอร์เรนซี่ก็ตาม แต่นักวิเคราะห์ทางการเงิน และเศรษฐศาสตร์การเมืองหลายท่าน ก็มองว่า การที่จีนใช้ยาแรงกับเงินดิจิตอลสกุลอื่นๆ อันกำลังเป็นที่นิยมในประเทศนั้น เพราะความกังวลในเรื่องผลกระทบต่อตลาดการเงินภายในประเทศ รวมไปถึงความสำคัญของเงินหยวนที่อาจถูกด้อยค่าลง ขณะที่ต้องต่อสู้กับดอลลาร์ของสหรัฐอเมริกาในตลาดโลกควบคู่ไปด้วย
กระนั้น การที่รัฐบาลจีนออกสกุลเงินดิจิตอลของตัวเอง และหยวนดิจิตอลก็คืบหน้าไปอย่างมากแล้วนั้น ก็ได้สร้างความกังวลให้หลายประเทศเช่นกัน เพราะถ้าเงินดิจิตอลที่การันตีโดยรัฐบาลจีน ซึ่งมีความเชื่อมั่นมากกว่าสกุลเงินดิจิตอลอื่นๆ นั้น สามารถกลายเป็น Global Currency หรือการทำธุรกรรมทางการเงินข้ามพรมแดนได้ ด้วยอิทธิพลทางเศรษฐกิจของจีน ก็อาจทำให้หยวนดิจิตอลเข้าไปแทนที่สกุลเงินท้องถิ่นของหลายประเทศได้ นั่นหมายถึงความสำคัญของเงินในประเทศนั้นจะถดถอย และนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อต่อไปในอนาคต นี่เองที่ทำให้หลายรัฐบาล รวมไปถึงธนาคารกลางในหลายประเทศทั่วโลก เริ่มที่จะมีการพูดคุยและเดินหน้าสกุลเงินดิจิตอลของตัวเองไปบ้างแล้วในระดับหนึ่ง (โดยเฉพาะธนาคารกลางของสหราชอาณาจักร สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์แคนาดา ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป) แม้ว่าทางการจีนจะออกตัวว่า การเกิดขึ้นของหยวนดิจิตอลอยู่ใน 2 รูปแบบเท่านั้น คือ สำหรับประชาชนทั่วไป ในช่วงแรก และระหว่างสถาบันการเงิน ในช่วงต่อไปก็ตาม
ล่าสุด มีความเห็นออกมาจากสถาบันทางการเงินระดับโลกหลายแห่งสนับสนุนการออกเงินดิจิตอลในรูปแบบCBDC World Bank คือ รับผิดชอบโดยธนาคารกลางของโลก เพื่อป้องกันการครอบงำอำนาจทางการเงินจากบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ (Big Tech) ที่มีแผนในการออกสกุลเงินดิจิตอลของตัวเอง ซึ่งมีฐานผู้ใช้สังคมออนไลน์จำนวนมหาศาล รวมไปถึงเหตุผลที่เป็นไปในทางเดียวกันกับรัฐบาลจีน(ธุรกรรมทางการเงินไม่โปร่งใส ความเสี่ยงสูง และสิ้นเปลืองทรัพยากร)ทั้งหมดนี้ คือ ความเคลื่อนไหวของเงินตราแห่งอนาคตภายใต้การขับเคลื่อนของรัฐบาลจีน และรัฐบาลในอีกหลายประเทศที่กำลังรักษาอำนาจอธิปไตยทางเศรษฐกิจของตัวเอง ผ่านเงินดิจิตอล และความเชื่อมั่นต่อระบบบริหารแบบคนกลาง ซึ่งกำลังถูกเทคโนโลยีอันทันสมัยและความไม่ไว้วางใจในรัฐบาล (ของตัวเอง)สั่นคลอน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี