กลายเป็นประเด็นใหญ่ เมื่อสหรัฐอเมริกาได้ออกมาประกาศส่งมอบวัคซีนชนิด mRNA คือ ไฟเซอร์ (Pfizer) ให้แก่ประเทศไทย 1.5 ล้านโดส สังคมออกมาตั้งคำถามกันว่า ควรจะนำไปใช้กับแพทย์ และบุคลากรทางสาธารณสุข ซึ่งเป็นด่านหน้าในการตรวจคัดกรอง และรักษาคนติดเชื้อโควิด-19 หรือไม่ เพราะปรากฏข้อมูลออกมาว่า ปัจจุบันเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ “เดลต้า” (โควิด-19สายพันธุ์อินเดีย) สามารถแพร่กระจายติดเชื้อในคนได้ แม้จะได้รับการฉีดวัคซีนแบบเชื้อตายของซิโนแวค (Sinovac) ไปแล้ว 2 เข็มก็ตาม (หมอ พยาบาล และบุคลากรทางสาธารณสุขด่านหน้าอยู่ในกลุ่มการรับวัคซีนรูปแบบนี้) ดังนั้นการนำไฟเซอร์ไปฉีดเป็นเข็มที่สามให้กับแพทย์ และบุคลากรทางสาธารณสุข จะเป็นไปเพื่อสร้างความปลอดภัยในบุคลากรสำคัญ และยับยั้งการแพร่กระจายเชื้อในพื้นที่อ่อนไหวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ถึงตรงนี้ ประเด็นดังกล่าวจบลงตรงที่รัฐบาล และหน่วยงานสาธารณสุขแห่งประเทศไทย ตัดสินใจให้ไฟเซอร์แก่บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า และจากนั้นก็จะเป็นคิวของประชาชนทั่วไปที่เหมาะสมตามข้อจำกัดของวัคซีนชนิด mRNA นี้ แต่ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน และยังมีการกล่าวถึงไม่มากก็คือ ข้อความจากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ส่งมาพร้อมกับวัคซีนไฟเซอร์ 1.5 ล้านโดสนั้นได้เปิดเผยถึงความสัมพันธ์ระหว่างกันสำหรับความช่วยเหลือทางสาธารณสุขในสถานการณ์วิกฤติไวรัสโควิด-19ที่ผ่านมา ดังนี้
“…กว่า 60 ปี สหรัฐอเมริกา และไทย ผนึกกำลังรับมือกับปัญหาสำคัญที่ส่งผลต่อการสาธารณสุข ความร่วมมือนี้เพิ่มพูนขึ้นนับตั้งแต่เกิดการระบาด โดยสหรัฐอเมริกา ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับภาคีชาวไทยในการเสริมสร้างความเข้มแข็งเพื่อตอบสนองต่อโรค โควิด-19 รวมถึงช่วยให้ไทยเข้าถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่สำคัญได้จนถึงปัจจุบัน รัฐบาลสหรัฐฯ ได้มอบความช่วยเหลือที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19 ให้กับไทยแล้ว เป็นมูลค่ากว่า40 ล้านเหรียญ (1,280 ล้านบาท) ตั้งแต่เครื่องช่วยหายใจ หน้ากากกรองอากาศ ชุดตรวจหาการติดเชื้อ หน้ากากอนามัย แว่นตานิรภัย และอุปกรณ์ป้องกันอื่นๆ สำหรับแพทย์ และพยาบาลชาวไทย มูลค่ารวม 28.5 ล้านเหรียญ ตลอดจนการช่วยเหลือผู้พลัดถิ่นตามแนวชายแดน นอกจากนี้ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา (U.S. CDC) ซึ่งมีความร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุขของไทยมาเป็นเวลากว่า 40 ปียังได้มอบความช่วยเหลือที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19 รวมเป็นจำนวน 13 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนแผนบริจาควัคซีนครั้งนี้จะเพิ่มมูลค่าความช่วยเหลือดังกล่าวเป็นอย่างมาก”
ก่อนหน้านี้ “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ก็เคยได้ออกมาประกาศแล้วว่า ได้เตรียมแผนการส่งมอบวัคซีนโควิด-19 ที่ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพจำนวน 80 ล้านโดส ให้กับประเทศต่างๆ ที่มีความจำเป็นในทั่วโลก และจะมอบวัคซีนกว่า 23 ล้านโดสให้กับประเทศต่างๆ ในทวีปเอเชีย นอกเหนือไปจากการบริจาคความช่วยเหลือกว่า 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐแก่องค์กรโคแวกซ์ (Covax : Covid-19 Vaccines Global Access Facility)หรือโครงการเพื่อการเข้าถึงวัคซีนโควิด-19ระดับโลก เพื่อการจัดสรรวัคซีนโควิด-19ให้แก่นานาประเทศอย่างเท่าเทียม อันรวมถึงไฟเซอร์กว่า 500 ล้านโดส ในปีหน้า(2022)
เช่นเดียวกับประเทศจีน ซึ่งถ้าติดตามข้อมูลย้อนหลังไปในเดือนพฤษภาคม ถึงมิถุนายน (2021) ก็จะทราบว่า สาธารณรัฐประชาชนจีน ได้บริจาควัคซีนรูปแบบเชื้อตายของซิโนแวคให้กับประเทศไทยถึง 1 ล้านโดส และจัดบริการส่งวัคซีนในส่วนที่ได้รับการสั่งซื้ออย่างรวดเร็ว นอกจากนั้น เมื่อปีที่ผ่านมา (2020) ทางการจีนก็ได้ส่งอุปกรณ์ทางการแพทย์ และสิ่งของจำเป็น ในการต่อสู้กับโควิด-19 ให้แก่ประเทศไทย เป็นมูลค่ากว่า 6 ล้านหยวน (30 ล้านบาท) อาทิ เครื่องช่วยหายใจ (แบบไม่ใส่ไปในร่างกาย)6 เครื่อง เครื่องวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ 10 เครื่องเครื่องควบคุมการให้สารละลายทางหลอดเลือดดำ 30 เครื่อง เครื่องวัดอุณหภูมิที่ศีรษะแบบอินฟาเรด 100 เครื่อง ชุดตรวจโควิด-19 แบบ PCR จำนวน 6,000 ชุด หน้ากากทางการแพทย์ชนิดใช้ครั้งเดียว จำนวน 100,000 ชิ้น หน้ากากทางการแพทย์สำหรับผ่าตัด 15,000 ชิ้น แว่นป้องกันทางการแพทย์ จำนวน 10,500 คู่ชุดสวมป้องกันทางการแพทย์ จำนวน 7,000 ชุด และถุงมือมือป้องกันเคมี ชีวะ และนิวเคลียร์ จำนวน 120 กล่อง เป็นต้น
“นอกจากปากีสถานแล้ว จีนจะให้ความช่วยเหลือด้านวัคซีนแก่ 13 ประเทศกำลังพัฒนา ได้แก่ บรูไน เนปาล ฟิลิปปินส์ เมียนมา กัมพูชา ลาว ศรีลังกา มองโกเลีย ปาเลสไตน์ เบลารุส เซียร์ราลีโอน ซิมบับเว และอิเควทอเรียลกินี ขณะอีก 38 ประเทศกำลังพัฒนาจะได้รับความช่วยเหลือด้านวัคซีนของจีนในระยะถัดไป นอกจากนี้เรายังเข้าร่วมโคแวกซ์ (COVAX) ซึ่งเป็นโครงการจัดหาวัคซีนระดับโลก นำโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) เพื่อจัดส่งวัคซีนให้ประเทศกำลังพัฒนาด้วย”
นอกเหนือจากการประกาศของ“วัง เหวินปิน” โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีนแล้ว ประเทศในกลุ่มทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมียนมา ลาว กัมพูชา เวียดนาม รวมถึงไทย ก็ได้รับความช่วยเหลือทางวัคซีน เครื่องมือ และเรื่องอื่นๆ เกี่ยวกับการต่อสู้กับไวรัสโควิด-19 จากจีนอย่างเข้มข้น
ที่น่าสนใจก็คือ ไต้หวัน เมื่อเดือนที่ผ่านมา (มิ.ย.) หลังเกิดการแพร่ระบาดขึ้นอีกครั้ง และดูท่าว่าจะหนักกว่าเดิม ที่สำคัญ แนวทางในการระดมฉีดวัคซีนก็ติดขัด เนื่องจากวัคซีนที่สั่งซื้อไปได้ติดปัญหาในการส่งมอบ ทำให้ทางการจีนยื่นความช่วยเหลือเข้าไป แต่ทางการไต้หวันก็ปฏิเสธ และกล่าวหาว่า ทางการจีนเป็นต้นเหตุให้การทำสัญญากับบริษัทผลิตวัคซีนแบบ mRNA ต้องล้มลง (เหตุผลทางกฎหมายระหว่างประเทศ) จากนั้น บริษัทเอกชนของจีนก็ยื่นข้อเสนอในการเป็นตัวแทนซื้อวัคซีนแบบ mRNA ให้ไต้หวัน แต่ก็ถูกปฏิเสธอีกครั้ง โดยประธานาธิบดี “ไช่อิงเหวิน” ของไต้หวัน ให้เหตุผลว่า ไต้หวันจะซื้อวัคซีนโดยตรงจากผู้ผลิตเท่านั้น หรือ
อาจเจรจากับบริษัทผู้ผลิตผ่านโครงการโคแวกซ์ เพื่อให้ได้รับการรับรองเกี่ยวกับคุณภาพ และความปลอดภัยของวัคซีนโดยตรงจากผู้ผลิต เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงทั้งทางกฎหมาย และการเมือง
แต่หลังจากนั้น ประเทศญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา ก็ติดต่อส่งมอบวัคซีนในรูปแบบเวกเตอร์ไวรัสของแอสตราเซเนกา (AstraZeneca) 1.24 ล้านโดสและรูปแบบ mRNAของโมเดอร์นา (Moderna) 2.5 ล้านโดส ให้แก่ทางการไต้หวันอย่างเป็นทางการ และไม่ผ่านจีน ซึ่งแน่นอนว่า มีคำวิจารณ์จากทางการจีนตามหลังมาตามระเบียบ กระนั้น วัคซีนที่ไต้หวันมีก็ยังไม่เพียงพอต่อสถานการณ์การระบาดอยู่ดี แต่ก็ได้รับความช่วยเหลือจากทางรัฐบาลเยอรมันในการช่วยทำสัญญากับบริษัทวัคซีน mRNA ของบริษัทเอกชนที่นั่น รวมไปถึงการบริจาควัคซีนจากโครงการโคแวกซ์เข้ามาเพิ่มเติม
ทั้งหมดที่เล่ามานี้ ก็เพื่อจะบอกว่า การทูตวัคซีน ก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางหนึ่งในการระงับยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศต่างๆ ที่มีนโยบายต่อการสร้าง “ภูมิคุ้มกันหมู่” ด้วยวัคซีน (Herd Immunity) ดังนั้น ถ้าการเข้าถึงวัคซีนที่ต้องการ ในจำนวนที่มากพอ และรวดเร็วนั้น กำลังเป็นปัญหา ก็เชื่อว่า ชั้นเชิงในการต่อรองเจรจาและการรื้อฟื้นความสัมพันธ์อันดีต่อประเทศ หน่วยงาน หรือผู้นำเป้าหมายคือสิ่งที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (โดยเฉพาะ กระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้บริหารประเทศ) ต้องทำ และในทันที เพราะนี่เป็นเรื่องที่รอไม่ได้ และต้องใช้ความใส่ใจในการทำภารกิจเป็นสำคัญ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี