หลายสัปดาห์ที่ผ่านมามีการแบนสินค้าที่น่าสนใจเกิดขึ้นที่สหราชอาณาจักร #BoycottHeinekenกลายเป็นเทรนด์ในสังคมออนไลน์อย่างTwitter พร้อมการแสดงออกที่ไม่เอาสินค้าตัวนี้จากประชาชนกลุ่มหนึ่งที่ไม่นิยมการฉีดวัคซีน อาทิ การนำเสนอคลิปเทเบียร์ลงในอ่างล้างจาน หรือการทำภาพกราฟิกโฆษณาที่ใส่ข้อความเติมลงไปว่า “เครื่องดื่มสำหรับคนฉีดวัคซีนแล้วเท่านั้น”
เรื่องของเรื่องก็คือ Heineken และบริษัทอื่นๆ ได้ตกลงกันที่จะร่วมรณรงค์ส่งเสริมให้คนสูงอายุในสหราชอาณาจักรเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 โดยเฉพาะบุคคลที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ทาง Heineken ซึ่งเป็นบริษัทเกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จึงทำรูปแบบของโฆษณาขึ้นมาตามสไตล์ คือการสร้างบรรยากาศของปาร์ตี้ยามค่ำคืนในแบบที่ผ่านๆ มา เพียงแต่ว่าตัวละครในฉากของโฆษณาชิ้นนี้จะใช้ตัวแสดงเป็นคนสูงอายุ และปิดท้ายด้วยข้อความที่ว่า “นี่เป็นคืนของผู้ได้รับวัคซีน มาซิ ได้เวลามาร่วมกับเรา”
แน่นอนว่า ในมุมหนึ่งก็มีกระแสตอบรับในมุมบวก ที่บริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยักษ์ใหญ่ให้การสนับสนุนแคมเปญเพื่อสาธารณสุขเช่นนี้ แต่ในตะวันตก โดยเฉพาะทวีปยุโรป และอเมริกา มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ปรารถนาให้วัคซีนใดๆ เข้าสู่ร่างกายด้วยเหตุผลของความปลอดภัย รวมไปถึงประเด็นของการละเมิดสิทธิมนุษยชน จึงทำให้การต่อต้านได้เกิดขึ้น ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ Heineken ยอมรับว่ามีผลกระทบแต่ไม่มาก กระนั้นประเด็นตรงนี้ก็น่าจะยืนยันอย่างชัดเจนเกี่ยวกับกลุ่มAnti-Vaxxers หรือกลุ่มไม่เอาวัคซีน ว่ามีตัวตนอยู่จริง และมีคนที่นิยมแนวทางนี้ไม่น้อย ในสัปดาห์นี้จึงพามาทำความรู้จักกับพวกเขาเหล่านี้กันว่า อะไรทำให้ความคิดเช่นนี้เกิดขึ้น และการกระจายตัวของแนวทางนี้ มีที่มาที่ไปอย่างไร
เมื่อวันชาติสหรัฐอเมริกาที่ผ่านมา(4 ก.ค.) มูลนิธิ Kaiser FamilyFoundation ได้ให้ข้อมูลของผลสำรวจทัศนคติในการรับวัคซีนป้องกันโควิดของคนอเมริกัน ด้วยวิธีการสุ่มโทรศัพท์ระหว่างวันที่ 8-21 มิถุนายน (2021) โดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ใหญ่ทั้งหมด 1,888 คน ว่ามีคนอเมริกันราว 14% ยืนยันหนักแน่นว่าจะไม่ฉีดวัคซีนโควิด-19 โดยในกลุ่มนี้ 69% เป็นคนผิวขาว เทียบกับ 7% เป็นคนผิวดำ และ 12% เป็นคนเชื้อสายลาตินอเมริกา นอกจากนั้น 58% เป็นผู้นิยมพรรครีพับลิกัน เทียบกับ 18% ซึ่งนิยมพรรคเดโมแครต
นอกจากนั้น 10% ของกลุ่มตัวอย่างบอกว่า ขอรอดูผลก่อนจะตัดสินใจฉีดวัคซีนหรือไม่ โดยในกลุ่มนี้ 18% เป็นคนผิวดำ 22% เป็นคนเชื้อสายลาตินอเมริกา โดยเหตุผลหลักของคนที่ลังเล และขอรอดูผลนั้น คือประเด็นประสิทธิผลของวัคซีน และอาการข้างเคียง ซึ่งครึ่งหนึ่งของกลุ่มตัวอย่างรูปแบบนี้บอกว่า จะเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 หากวัคซีนผ่านการรับรองอย่างสมบูรณ์ จากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) จากเดิมที่เป็นการรับรองอย่างฉุกเฉินในปัจจุบัน
จากผลสำรวจดังกล่าวนี้ ก็คงไปอ้างอิงกับสองเหตุผลก็คือ ความนิยมในพรรครีพับลิกัน และแน่นอนความศรัทธาที่มีต่อ “โดนัลล์ ทรัมป์” อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่แม้ว่าเจ้าตัวจะออกมาเชิญชวนให้ผู้สนับสนุนตนเองไปเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด แต่ในประโยคดังกล่าวนั้น มีวลีปิดท้ายที่ว่า “เราทุกคนมีเสรีภาพเป็นของตัวเองผมยังคงเชื่อมั่นในเรื่องนี้” ซึ่งอาจทำให้ผู้สนับสนุนไขว้เขว และขาดความเชื่อมั่นต่อแนวทางการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 ของ “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครต ก็เป็นได้
เช่นเดียวกับในอีกหลายประเทศ ที่ไร้ซึ่งความเชื่อมั่นในตัวผู้นำประเทศหรือวัคซีนที่รัฐบาลของประเทศนั้นๆ นำมาใช้กับประชาชนของเขา ก็จะถูกเหตุผลด้านสิทธิมนุษยชน เสรีภาพของประชาชน รวมไปถึงความกังวลทางการเมืองเข้ามาเป็นปัจจัยกำหนดในการตัดสินใจรับหรือไม่รับวัคซีน หรือเลือกรับเพียงวัคซีนบางกลุ่มเท่านั้น อาทิ คนกลุ่มหนึ่งในสิงคโปร์เลือกที่จะรับวัคซีนสัญชาติจีน ด้วยเหตุผลของการเดินทางไปมาหาสู่เพื่อติดต่อค้าขายกับบริษัทในประเทศจีน หรือข่าวลือเรื่องวัคซีนชนิด mRNA มีการฝังชิพติดตามจากทางการสหรัฐฯ หรือการมีส่วนผสมของเนื้อสัตว์บางชนิดในวัคซีน ซึ่งเป็นเรื่องต้องห้ามทางศาสนา ก็ทำให้คนบางกลุ่มเลือกที่จะหลีกเลี่ยงโดยไม่หาข้อมูลเพิ่มเติม เป็นต้น
อีกประเด็น ก็เป็นเหตุผลด้านความปลอดภัย อย่างที่รายงานของ Kaiser Family Foundation ระบุ ว่าคนส่วนหนึ่งยินดีรอจนกว่าทาง FDA จะอนุมัติอย่างเป็นทางการ เพราะโดยปกติทั่วไป การอนุมัติใช้วัคซีนชนิดใดต่อมนุษย์ จำเป็นต้องมีผลการศึกษาอย่างละเอียดและใช้เวลาอย่างต่ำๆ 3-5 ปี เพื่อมิให้เกิดข้อผิดพลาด ซึ่งเรื่องทางประสิทธิภาพนั้นเป็นความน่ากังวลในส่วนน้อย แต่ผมข้างเคียงในระยะยาวคือความไม่สบายใจของใครหลายคน ตรงนี้เองที่ทำให้คนส่วนหนึ่งเลือกที่จะรอ และคนอีกส่วนหนึ่งเลือกที่จะไม่รับวัคซีนชนิดใดเลย ทั้งต่อตัวเอง และคนในครอบครัว
ความไม่เชื่อในเรื่องของวิทยาศาสตร์ และการไม่ปรารถนาให้ยาปฏิชีวนะใดๆ เข้าสู่ร่างกายนั้น เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยโรคฝีดาษระบาดในปี 1800 ที่สหรัฐอเมริกาออกกฎหมายบังคับให้ทุกคนฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้ ในขณะที่การแพทย์แผนเก่ายังคงได้รับความนิยมอยู่ จึงทำให้แนวคิดเรื่องการต่อต้านแพทย์แผนใหม่ หรือการใช้วิทยาศาสตร์ในการรักษาอาการป่วยได้เริ่มต้นขึ้น ผนวกกับมีกรณีการเสียชีวิตของผู้ป่วยที่ได้รับวัคซีนเกิดขึ้นเป็นระยะๆ และครอบครัวได้เรียกร้องสิทธิในการเยียวยาและรับผิดชอบ เพราะถูกคำสั่งจากรัฐบังคับให้พวกเขาต้องเข้ารับวัคซีน การต่อต้านก็พัฒนาตามวันเวลาที่ผ่านไป แม้กฎหมายได้รับการผ่อนคลาย ประชาชนสามารถเลือกที่จะรับหรือไม่รับวัคซีนได้ แต่การต่อต้านวัคซีน และการแพทย์สมัยใหม่ การใช้วิทยาศาสตร์เข้ามาร่วมรักษาอาการป่วย ก็ยังคงเป็นที่ยึดมั่นถือมั่นของคนกลุ่มหนึ่งมาอย่างต่อเนื่อง มีกลุ่มทุนเข้ามาให้ความสนับสนุน มีการเดินขบวนแสดงออก มีการสร้างการประชาสัมพันธ์ชวนเชื่อเพื่อขยายทัศนคติเช่นนี้ออกไปอย่างเป็นระบบ โดยมีทฤษฎีผลกระทบมาเทียบเคียงสนับสนุนความเชื่อตรงนี้อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น ประเด็นของการเป็นออทิสติกในเด็กสำหรับหญิงตั้งครรภ์ หรือการเป็นหมันโดยไม่รู้ตัว
ดังนั้น ด้วยเหตุผลของความปลอดภัยทางสาธารณสุข และความเชื่อมั่นทางการเมือง ซึ่งก็คือเรื่องของสิทธิเสรีภาพในการเข้ารับวัคซีน ถ้าหน่วยงานที่รณรงค์เรื่องของวัคซีน หรือภาครัฐ สามารถที่จะให้ความกระจ่างทั้ง 2 ประเด็นนี้ได้ แน่นอนว่า อาจมีกลุ่ม Anti-Vaxxers ที่หัวชนฝาอยู่บ้าง แต่สำหรับคนกลุ่มใหญ่แล้ว น่าจะสามารถสร้างการ “เปิดใจ” ให้กับพวกเขาเหล่านั้นได้มากยิ่งขึ้น เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า โควิด-19 จุดหมายสำคัญในการหลุดออกมาจากสถานการณ์วิกฤติ คือการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เกิดขึ้น ทำให้การเข้าร่วมรับวัคซีนป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไวรัสชนิดนี้จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ซึ่งก็ต้องย้ำชัดๆ อีกครั้งว่า ห้ามบังคับ และต้องให้ข้อมูลความปลอดภัยอันน่าเชื่อถือ สองสิ่งนี้คือหัวใจสำคัญ ถ้าอยากให้พวกเขามาร่วมกับเรา อย่าเอาการแบ่งแยกมาใช้เพราะต่อไปจะไม่มีค่ำคืนของใครอีกเลย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี