มะเร็งตับ เป็นมะเร็งที่พบบ่อยมากทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วย สามารถแบ่งมะเร็งตับออกเป็น 3 ชนิด คือ 1) มะเร็งของเนื้อตับเองหรือที่แพทย์เรียกว่า hepatoma หรือ hepatocellular carcinoma 2) มะเร็งของระบบท่อน้ำดีในตับ หรือที่แพทย์เรียกว่า cholangiocarcinoma ในวงการแพทย์ไม่เรียกมะเร็งของท่อน้ำดีว่ามะเร็งตับ 3) มะเร็งที่เกิดในอวัยวะอื่นแล้วลามมาที่ตับ เช่น จากกระเพาะอาหาร จากลำไส้ใหญ่ ฯลฯมะเร็งชนิดนี้เรียกว่า metastatic cancer หรือมะเร็งที่กระจายมาจากที่อื่น
วันนี้จะขอพูดถึงเรื่องมะเร็งของเนื้อตับเอง ซึ่งก็คือ hepatoma หรือ hepatocellular carcinoma สาเหตุที่สำคัญที่สุดของการเกิดมะเร็งของเนื้อตับ หรือ hepatoma นี้มีอยู่ 4 สาเหตุ คือ1) โรคอ้วน 2) แอลกอฮอล์ 3) เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิด บี หรือ hepatitis B Virus, HBV 4) เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิด Cหรือ hepatitis C Virus, HCV ส่วนสาเหตุอื่นๆ มีบ้าง แต่ไม่มาก จึงไม่ขอพูดถึง
โรคอ้วน ทำให้มีการสะสมของไขมันในตับ หรือที่เรียกว่า fatty liver disease กลุ่มนี้เรียกรวมๆ กันว่า Non Alcoholic Fatty Liver Disease หรือมีชื่อย่อว่า NAFLD ซึ่งมีตั้งแต่เป็นน้อยคือ มีแต่ไขมันในตับ ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่มีอันตราย แต่ถ้าเป็นนานและมีไขมันในตับมาก จะมีการอักเสบของตับ (Non Alcoholic Steatohepatitis (NASH) จนเกิดพังผืด (fibrosis) มากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นโรคตับแข็ง และต่อมาเป็นมะเร็งของตับได้
การป้องกันโรคมะเร็งของตับจากโรคอ้วนง่ายมาก คือ ทำตัวไม่ให้อ้วน!? พูดง่ายแต่ทำยาก ผมเองชอบออกกำลังกาย เดินวันหนึ่งเฉลี่ย 10,000 ก้าว ยังมีไขมันในตับมากเลย แต่โชคยังดีที่ยังไม่มีพังผืด การดูแล ป้องกันโรคอ้วน ซึ่งจะนำไปสู่โรคต่างๆ อีกมากมาย เช่น นอกจากโรคมะเร็งของตับแล้ว ยังนำไปสู่โรคหัวใจ สมอง เบาหวาน ความดันโลหิต กระดูกเสื่อม มะเร็งต่างๆ ที่สัมพันธ์กับโรคอ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มะเร็งตับ เต้านม ลำไส้ใหญ่ ฯลฯ ต้องดูแล 2 ตัววัดคือ ดัชนีมวลกาย หรือ body mass index, BMI ให้อยู่ต่ำกว่า 23 ระหว่าง 23.1-24.9 เรียกว่าน้ำหนักเกิน 25 ขึ้นไปถือว่าอ้วน การคำนวณ BMI คือ เอาน้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม หารด้วยความสูงเป็นเมตรกำลังสอง เช่น ถ้าน้ำหนักตัว 76 กก. สูง 1.78 ม. คือ 76/1.782 = 23.98 ซึ่งตัวเลขนี้ถือว่าน้ำหนักมากไป
และตัววัดอีกตัวหนึ่งคือ รอบเอว ผู้ชายต้องให้น้อยกว่า 90 ซม. ผู้หญิงน้อยกว่า 80 ซม.
ต้องดูแลให้ทั้ง 2 ตัววัดนี้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่ใช่ตัวหนึ่งตัวใดเท่านั้น และวิธีการที่สำคัญที่ทำให้ 2 ตัววัดนี้อยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการเลือกรับประทานอาหาร โดยมากหนุ่มสาวจะมีทั้ง BMI และรอบเอวอยู่ในเกณฑ์ปกติโดยธรรมชาติ ทั้งๆ ที่ไม่ออกกำลังกายเลย แต่ผู้ที่มี BMI รอบเอวปกติ โดยไม่ออกกำลังกาย จะมีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจสมองตีบและอุดตัน และโรคอื่นๆ ด้วย ฉะนั้นการออกกำลังกายจึงมีความสำคัญมากสำหรับทุกๆ คน ทุกๆ วัย
ผมได้พูดเรื่องการรับประทานอาหาร การออกกำลังกายบ่อยแล้ว จึงไม่ขอลงรายละเอียดในวันนี้
วิธีป้องกันโรคมะเร็งตับจากแอลกอฮอล์ ดีที่สุดคือ ไม่ดื่มเลย มีแนวทางเวชปฏิบัติสำคัญที่มาจากสหราชอาณาจักร (United Kingdom) ในปี 2015 สรุปว่าการดื่มที่ค่อนข้างจะปลอดภัย คือ ไม่เกิน 2 หน่วยแอลกอฮอล์ต่อวันสำหรับทั้งชายและหญิง แต่การดื่มในปริมาณนี้ก็ยังมีความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าดื่มแอลกอฮอล์แล้วไปขับรถ ถ้าดื่มแอลกอฮอล์ต้องไม่ขับรถ ไม่ว่าจะหน่วยเดียว หรือเท่าไหร่ก็ตาม เพราะถึงแม้ไม่รู้สึกว่าเมา แต่การตอบสนองของกล้ามเนื้อร่างกาย ประสาท จะเสียไป และการตอบสนองของร่างกายต่อแอลกอฮอล์ของคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน ห้ามดื่มถ้าจะขับรถ
วิธีคำนวณหน่วยแอลกอฮอล์ของสหราชอาณาจักร คือ จำนวนซีซีของแอลกอฮอล์ที่ดื่ม คูณด้วย alcohol by volume (ABV – ที่ข้างขวดข้างกระป๋องเขียนไว้ เช่น 4-6๐ ดีกรี สำหรับเบียร์, วิสกี้ 40๐, ไวน์ 11-14๐) หารด้วย 1,000 เช่น ถ้าดื่มเบียร์ที่ 500 ซีซี ที่ 5% จะเป็น 2,500/1,000 = 2.5 หน่วยแอลกอฮอล์ของสหราชอาณาจักร
แต่ประเด็นมีอยู่ว่า 1 หน่วยแอลกอฮอล์ ของแต่ละประเทศไม่เท่ากัน เช่น อังกฤษ 8, ไทย 10, อเมริกา 14, ญี่ปุ่น 19.75 กรัม
ฉะนั้น 1 หน่วยแอลกอฮอล์ของอังกฤษ (8 กรัม) เท่ากับวิสกี้25 ซีซี หรือเบียร์ประมาณ 200 ซีซี หรือไวน์ประมาณ 80 ซีซี
ถ้าจะดื่มแอลกอฮอล์ก็ดื่ม แต่อย่าอ้างว่าดื่มเพื่อสุขภาพ เพราะข้อมูลของแอลกอฮอล์ต่อสุขภาพในรายงานของสหราชอาณาจักร 2015 พบว่าดีนิดเดียวในหญิงกลางคนที่ดื่ม 5-6 หน่วยต่อสัปดาห์ (น้อยกว่าวันละ 2 หน่วย)
ส่วนสาเหตุที่ 3 และ 4 คือ เชื้อไวรัสตับอักเสบ B และ C ซึ่งทั่วโลกมีคนมีเชื้อนี้อยู่ในร่างกายถึง 290 ล้านคน โดยไม่ทราบว่าตนเองมีเชื้อ องค์การอนามัยโลก จึงตั้งให้มีวันตับอักเสบโลก หรือ World Hepatitis Day ซึ่งก็คือ วันที่ 28 กรกฎาคมของทุกปี เพื่อรณรงค์ให้ทุกๆ คนไปตรวจเลือด เพื่อดูว่าตนเองมีเชื้อ HBV, HCV หรือไม่ เพราะสมัยนี้มีวัคซีนป้องกันโรค HBV แล้ว ซึ่งประเทศไทยได้มีการฉีดให้ประชาชนฟรี ตั้งแต่ปี 2535 แต่ประเด็นคือ ต้องฉีดวันแรกของการเกิด ไม่ใช่ภายในเดือนแรก ส่วนเชื้อHCV ถึงแม้ไม่มีวัคซีน แต่สามารถรักษาให้หายขาดได้ในปัจจุบันนี้WHO ตั้งเป้าไว้ว่าภายใน ค.ศ.2030 จะกำจัด HBV, HCV ให้หมดสิ้นไปจากโลกนี้
คราวหน้าจะเน้นเรื่องเชื้อ HBV, HCV นะครับ
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี