คราวที่แล้วผมเขียนถึงสาเหตุที่สำคัญ 4 ประการที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งของเนื้อตับ (hepatoma) 4 สาเหตุนี้ คือ โรคอ้วนแอลกอฮอล์ เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิด B, Hepatitis BVirus, HBV และเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดซี, Hepatitis CVirus, HCV และผมได้เขียนเกี่ยวกับโรคอ้วน และแอลกอฮอล์ไปแล้ว วันนี้จึงขอลงลึกเกี่ยวกับ HBV และ HCV
ประเทศไทยเราเคยมีประชากรที่มี HBV อยู่ในร่างกายมากกว่า 10% และมีเชื้อ HCV ประมาณ 1-3% แต่เนื่องจากได้มีการค้นพบวัคซีนป้องกันเชื้อ HBV และได้มีการฉีดวัคซีนให้เด็กแรกเกิดทุกคนตั้งแต่ปี พ.ศ.2535 ปัจจุบันนี้ประชากรที่มีเชื้อ HBV จึงลดลงเป็นจำนวนมาก อาจเหลือเพียง 2-3%
เชื้อไวรัสทั้ง HBV และ HCV ต่างก็ทำให้เกิดตับอักเสบเฉียบพลัน (acute hepatitis) ตับอักเสบเรื้อรัง (chronic hepatitis) ตับแข็ง (cirrhosis) และมะเร็งของเนื้อตับ (hepatoma) ได้ การติดเชื้อของทั้ง 2 ไวรัสมีหลักการคล้ายคลึงกัน คือ ติดต่อได้จากทั้งเลือด และผลิตภัณฑ์เลือด วิธีการที่ติดก็เหมือนกันคือ ตอนเด็กแรกเกิดจากแม่ที่มีเชื้อ จากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อ จากการใช้สารเสพติดโดยเฉพาะการใช้เข็มฉีดยาที่สกปรกร่วมกัน การใช้เข็มที่สกปรกในการสัก การใช้มีดโกนหนวด แปรงสีฟันร่วมกัน ฯลฯ
แต่ข้อแตกต่างสำหรับการติดเชื้อไวรัสทั้ง 2 คือ ในการติดจากแม่ที่มีเชื้อสู่ลูกตอนลูกเกิดนั้นสำหรับเชื้อ HBV แม่จะส่งเชื้อมาให้ลูกได้ถึง 90% แต่ในกรณีของ HCV แม้ถ้าแม่มีเชื้อจะส่งเชื้อต่อให้ลูกได้ไม่เกิน 10% ในการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อ HBV จะติดได้ง่ายกว่าเชื้อ HCV ที่ติดได้ แต่น้อยกว่าเชื้อ HBV การติดเชื้อที่สำคัญของ HCV คือ มาจากการใช้ยาเสพติดโดยใช้เข็มฉีดยาที่สกปรกร่วมกัน
ประเด็นที่สำคัญของการแพร่เชื้อ HBV คือ การติดเชื้อจะขึ้นอยู่กับอายุที่คนได้รับเชื้อ เช่น ถ้ารับเชื้อตอนเกิด 90% จะได้รับเชื้อ แต่ได้รับเชื้อตอนอายุ 20-30 ปี อาจมีโอกาสติดเชื้อเพียง 1-10% ทั้งนี้ขึ้นอยู่ที่ภูมิคุ้มกันของแต่ละคนด้วยที่รับเชื้อ
สำหรับเชื้อไวรัส HCV ไม่ว่าได้รับเชื้อเมื่อไหร่ 85% จะได้รับเชื้อและจะเป็นแบบเรื้อรัง ฟังดูแล้วน่ากลัว แต่ถ้าดูให้ละเอียดเราจะได้เชื้อ HCV ก็ต่อเมื่อเราไปใช้เข็มฉีดยาเสพติดที่สกปรกโดยใช้ร่วมกับผู้อื่น ซึ่งคนปกติไม่ทำอยู่แล้ว เราอาจจะได้เชื้อถ้าเราไปมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อโดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยป้องกัน หลักการมีอยู่ว่าถ้าจะมีเพศสัมพันธ์กับใคร ถ้าไม่ใช่สามี ภรรยา ควรใช้ถุงยางอนามัย เพราะจะช่วยป้องกันทั้งเชื้อ HBV, HCV, syphilis, เชื้อ HIV และการตั้งครรภ์ก่อนเวลาอันควร ฯลฯ
การได้รับเชื้อ HCV อีกวิธีหนึ่งคือ จากแม่สู่ลูก ซึ่งวิธีนี้แม่สามารถแพร่เชื้อให้ลูกได้ไม่ถึง 10% ฉะนั้นจะเห็นได้ว่าถ้าเราไม่ได้เชื้อ HCV จากแม่ ซึ่งถ้าได้ก็ไม่เกิน 10% ฉะนั้นถ้าเรามีความรู้และมีวินัย เราจะไม่ต้องติดเชื้อ HCV อีกเลยในชาตินี้ถ้าเราเกิดมาและไม่ได้รับเชื้อจากแม่ตอนเกิด
และแม้แต่ 10% ที่แม่สามารถแพร่เชื้อ HCV มาสู่ลูกได้ ก็ยังสามารถลดเป็นศูนย์ได้ เพราะปัจจุบันนี้สามารถรักษาเชื้อ HCV ให้หายได้แล้ว ฉะนั้น “ว่าที่มารดา” ถ้าไปตรวจหาเชื้อ HCV ถ้ามีเชื้อ รีบไปรักษาเสีย ก็จะหมดปัญหาของการแพร่เชื้อจากแม่ไปสู่ลูก
ด้วยเหตุผลนี้เององค์การอนามัยโลกจึงจัดให้มี World Hepatitis Day เพื่อเป็นการรณรงค์ให้ประชาชนที่ไม่ทราบว่าตนเองมีเชื้อ HBV,HCV หรือไม่ ไปตรวจเลือดเพื่อดูว่าตนเองมีเชื้อ HCV, HBV หรือไม่ ถ้ามีก็รีบไปรักษาเสีย WHO บอกว่ามีประชาชนในโลกประมาณ 290 ล้านคน ที่มีเชื้อ HBV, HCV แต่ไม่ทราบ ทุกๆ คนจึงควรไปตรวจเช็คเพื่อการจัดการที่เหมาะสม
ผมพูดเล่นๆ กับลูกศิษย์ หรือประชาชนว่า เทวดานี่น่ารักมากท่านเห็นว่าเชื้อ HBV มีการแพร่เชื้อจากแม่สู่ลูกตอนเกิดได้ถึง 90% เทวดาจึงส่งวัคซีนมาให้มนุษย์ฉีด ซึ่งเชื้อและโรคที่เกิดจาก HBV จะค่อยๆ หายหมดไปจากโลกนี้ แต่ประเด็นมีอยู่ว่าต้องฉีดวัคซีนวันแรกของการเกิด และต้องฉีด 3 เข็ม แต่เทวดา (ผมพูดเล่น)ลืมให้วัคซีนสำหรับเชื้อ HCV มาให้แก่มนุษย์ ท่านนึกขึ้นได้ท่านจึงสั่งให้มีการแพร่เชื้อจากแม่มาสู่ลูกในกรณีของ HCVได้ไม่เกิน 10% มนุษย์จะได้ไม่เป็นโรคมาก และเทวดายังกรุณาอีกด้วยการสั่งให้มียาที่จะรักษาเชื้อ HCV ได้จนหายขาด
ประเด็นหนึ่งที่ต้องรู้ คือ ไม่ใช่ว่าทุกโรคมนุษย์จะสามารถผลิตวัคซีนได้ ได้มีการค้นพบเชื้อ HCV ตั้งแต่ 1989 แต่จนบัดนี้เรายังไม่สามารถผลิตวัคซีนป้องกัน HCV ได้ โชคดีมากที่เราสามารถผลิตวัคซีนป้องกัน COVID-19 ได้ และภายใน 11 เดือนเท่านั้น โรคอีกโรคที่ยังไม่มีการผลิตวัคซีนได้ คือ โรค HIV/AIDS อีกประเด็นหนึ่งคือ เราโชคดีมากที่มีวัคซีนป้องกัน HBV เพราะปัจจุบันนี้ยารักษา HBV นั้นดีขึ้นกว่าอดีต แต่ยังไม่ดีเท่ากับการรักษาของเชื้อ HCV แต่อีกหน่อยถ้าทั้งโลกฉีดให้เด็กแรกเกิดหมดทุกคนในโลกนี้ เชื้อและโรคที่เกิดจาก HBV ก็จะหมดไปเอง
จากที่เขียนมาทั้งหมด ทุกท่านจะเห็นได้ว่าเราสามารถลดความเสี่ยงหรือป้องกัน การเกิดโรคมะเร็งของเนื้อตับโด้ไม่ยากนัก ถ้าเราเพียงแต่มีความรู้ และมีวินัยที่จะมีพฤติกรรมที่เหมาะสมครับ
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี