โลกเกิดรัฐประหารขึ้นอีกครั้ง ณ ทวีปแอฟริกา เมื่อ “มามาดี ดูมบัวยา”ผู้บัญชาการกองกำลังพิเศษแห่งกองทัพกินี นำกองกำลังทหารในชื่ออย่างเป็นทางการว่า “คณะกรรมการความปรองดองและพัฒนาแห่งชาติ” เข้าควบคุมการปกครอง และฉีกรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน พร้อมจับตัวประธานาธิบดี “อัลฟา คอนเด” แห่งกินีเอาไว้ ก่อนอ้างเหตุผลของการเข้ายึดอำนาจครั้งนี้ว่า การบริหารที่ล้มเหลว และการคอร์รัปชั่นของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ส่งผลให้ประชาชนเกิดปัญหาความยากจนอย่างแสนสาหัสดังนั้น พวกเขาจึงต้องเข้ามาแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าว และจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต่อไป เบื้องต้น คณะรัฐประหารกินีประกาศเคอร์ฟิวทั่วประเทศ และปิดพรมแดนทั้งทางบกและทางอากาศอย่างไม่มีกำหนด
แน่นอนว่า ประเทศในระบอบประชาธิปไตยทั่วโลกประณามการรัฐประหารที่เกิดขึ้นในกินี และเรียกร้องให้ปล่อยตัวประธานาธิบดีคอนเดในทันที ซึ่งถ้าติดตามข่าวอย่างใกล้ชิดก็จะชัดเจนว่า ลำดับเหตุการณ์ในทำนองนี้ เคยเกิดขึ้นที่พม่า เมื่อต้นปี 2021 ที่ผ่านมานี้เอง
“ขอเรียกร้องให้กองทัพ และทุกฝ่ายยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตย และหลักนิติธรรม พร้อมปล่อยตัวผู้ที่ถูกควบคุมตัวในวันนี้” สารจาก “เจน ซากี” โฆษกทำเนียบขาว เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์2021 ที่ส่งถึง “พลเอกอาวุโสมินอ่อง หล่าย” หัวหน้าคณะรัฐประหารในพม่า คือใจความเดียวกันต่อข้อเรียกร้องจากรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยทั่วโลก รวมไปถึงองค์การสหประชาชาติ (UN) ที่ส่งถึงกองกำลังทหารกินี และพันเอกมามาดีดูมบัวยา เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมานี้
กระนั้น กระบวนการคืนสู่ประชาธิปไตย และการกลับคืนสู่รัฐบาลประชาชนในพม่า ก็ยังคงดำเนินไปภายใต้ความรุนแรง การสูญเสียอาการบาดเจ็บ และความตาย ล่าสุด“ดูวา ลาชิ ลา” รักษาการประธานาธิบดีของรัฐบาลเงาในพม่า ได้ออกมาเรียกร้องผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ ให้กองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์ ที่เป็นพันธมิตรกับรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติหรือ NUG (กองกำลังต่อต้านคณะรัฐประหารมิน อ่อง หล่าย) ให้ดำเนินการโจมตีกองกำลังทหารของรัฐบาลมิน อ่อง หล่าย ทันที และควบคุมที่ตั้งกองกำลังทหารของตัวเองอย่างรัดกุม พร้อมทั้งเชิญชวนให้ประชาชนชาวพม่าเข้าร่วมการปฏิวัติรัฐบาลทหารครั้งใหญ่ ตำรวจ ทหาร และข้าราชการ ขอให้หยุดงาน และออกมาร่วมมือกับประชาชนในปฏิบัติการครั้งสำคัญนี้
คือ ถ้าให้สื่อสารกันแบบตรงไปตรงมา ก็คงบอกได้อย่างชัดเจนว่ากว่า 6 เดือนที่ผ่านมา แรงกดดันของโลกต่อคณะรัฐประหารที่พม่า ทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ ไม่ได้มีอิทธิพลพอจะทำให้ความบิดเบี้ยวของประชาธิปไตยในพม่ากลับคืนสู่ความน่าจะเป็น อำนาจยังคงกระจุกอยู่ที่คนกลุ่มเดียว และคนกลุ่มนั้นก็ใช้อำนาจทำลายคนกลุ่มอื่นๆ เพื่อพิทักษ์อำนาจของตัวเองอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร ทำให้ประชาธิปไตยกำลังถูกทดสอบอย่างน่าเป็นกังวล
ให้หลังไปในเดือนเมษายน 2021กลุ่มผู้ต่อต้านรัฐบาลทหารในพม่าบนท้องถนนต่างออกมาสื่อสารกับอาเซียนและโลกว่า อย่ายอมรับให้มิน อ่อง หล่าย ผู้นำสูงสุดของพม่าจากการรัฐประหาร เข้าร่วมการประชุมอาเซียน ที่ประเทศอินโดนีเซีย แต่ทางอาเซียนก็ให้ข้ออ้างว่า การประชุมที่เกิดขึ้นเป็นไปเพื่อการเจรจาเรียกหาสันติภาพที่พม่า หลังจากที่รัฐบาลทหารพม่าสังหารผู้ต่อต้านรายวัน และใช้ความรุนแรงต่อกลุ่มประท้วงอย่างโหดเหี้ยม
การประชุมครั้งนั้นมี 6 ผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียน และรัฐมนตรีต่างประเทศฟิลิปปินส์ ลาว และไทยเข้าร่วม โดยมี “สมเด็จพระราชาธิบดีฮัจญีฮัสซานัล โบลเกีย” ประมุขและนายกรัฐมนตรีแห่งบรูไน ทำหน้าที่ประธานซึ่งหลังการหารือเกิดข้อตกลง 5 ข้อร่วมกัน คือ หนึ่ง จะต้องยุติความรุนแรงในพม่าทันที และทุกฝ่ายต้องใช้ความยับยั้งชั่งใจอย่างเต็มที่ สอง การเจรจาที่สร้างสรรค์ระหว่างทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะเริ่มต้นขึ้น เพื่อหาทางออกอย่างสันติเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน สาม ทูตพิเศษของประธานอาเซียนจะอำนวยความสะดวกเป็นสื่อกลางของกระบวนการเจรจา โดยความช่วยเหลือของเลขาธิการอาเซียน สี่ อาเซียนจะให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมผ่านทางศูนย์ประสานงานอาเซียน เพื่อความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมด้านการจัดการภัยพิบัติ(AHA) และ ห้า ทูตและคณะผู้แทนพิเศษจะเดินทางไปเยือนเมียนมาเพื่อพบปะกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
แม้ว่าไม่มีข้อตกลงในการปล่อยตัวฝ่ายเห็นต่างในพม่า โดยเฉพาะ“นางออง ซาน ซู จี” หรือการที่มิน อ่อง หล่าย มิได้ตอบรับหรือปฏิเสธต่อฉันทามติทั้ง 5 ข้อแต่อย่างใดเพราะการแสดงออกเป็นเพียงรับทราบเท่านั้น แต่ในช่วงเวลานั้นโลกก็เริ่มมีความหวังต่อสันติภาพ และการคืนอำนาจสู่ประชาชนอย่างแท้จริงที่พม่าหลังจากรับรู้ถึงความขมขื่นและเจ็บปวดของชาวพม่าผ่านสื่อออนไลน์อย่างต่อเนื่องในเวลาที่ผ่านมา
ถึงที่สุด ฉันทามติ 5 ข้อก็ถูกทิ้งเอาไว้ที่ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศในกลุ่มอาเซียน หรือแม้กระทั่งพี่ใหญ่ประชาธิปไตยอย่างสหรัฐอเมริกา อังกฤษ หรือกลุ่มสหภาพยุโรป กลายเป็นปืนลมไร้กระสุนต่อไป แรงกดดันทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ ถูกบรรเทาเบาบางด้วยสงครามเย็นของฝั่งที่นิยมการปกครองที่อยู่อีกฝั่งของประชาธิปไตยในแบบตะวันตก ดังนั้นเมื่อพม่ามีเชือกให้พิงหลัง ความรุนแรงและการรักษาอำนาจของมิน อ่อง หล่าย และคณะทหารของเขาก็ดำเนินต่อไป คณะผู้ต่อต้านจึงเลือกหนทางแบบตายเป็นตาย ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ความรุนแรงต่อความรุนแรง ชีวิตแลกชีวิต เพื่อการแย่งชิงอำนาจกลับมาอีกครั้ง และนั่นจึงเป็นคำถามต่อไปว่า อำนาจหรือระบอบการปกครองที่จะได้กลับมา คุ้มค่ากับสิ่งที่กำลังจะเสียไปหรือไม่
นี่เป็นบทเรียนที่ชาวกินีต้องศึกษา โลกต้องทบทวน และประชากรโลกต้องตระหนัก ว่าเราควรเปิดทางให้ความรุนแรงกลายเป็นกระบวนการตัดสินการได้มาซึ่งอำนาจในการปกครอง สิทธิในการควบคุมและเกียรติเพื่อการบังคับบัญชาจริงหรือ?
หลักสำหรับการอยู่ร่วมกันอย่างอารยชน ที่คณาจารย์ตามศาสตร์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง พยายามรังสรรค์ขึ้นมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพื่อให้มีความสมบูรณ์และยอมรับในหมู่ประชาชนด้วยกันไม่สามารถแก้ไขปัญหา “ระบอบอำนาจนิยม” ได้ ใช่หรือไม่?
และประชาชนควรต้องปรับตัวอย่างไร ในวันที่อำนาจ (แห่งตัวแทน) ที่เคยมี เคยได้ จะไร้ซึ่งการยึดโยง?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี