สัปดาห์นี้ก็ยังอยู่ในช่วงของ “วันป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าโลก” หรือ World Rabies Day ในวันที่ 28 กันยายนของทุกปีนะครับ เราจะยังอยู่ในเรื่องราวเกี่ยวกับโรคพิษสุนัขบ้ากัน เมื่อสัปดาห์ที่แล้วทุกท่านได้ทราบถึงสาเหตุ การติดต่อ รวมถึงการระบาดของโรคพิษสุนัขบ้าไปแล้ว วันนี้เรามาคุยกันถึงเรื่อง ข้อควรปฏิบัติหากถูกสุนัขหรือแมวกัดหรือข่วน และการป้องกันโรคนี้กันครับ
การปฎิบัติตนหากถูกสุนัข-แมวกัดหรือข่วน
ในกรณีที่ถูกสุนัขหรือแมวกัด ไม่ว่าสุนัขที่กัดเรานั้นจะเป็นสุนัขที่มีเจ้าของหรือไม่ก็ตาม ให้จำหลักการง่ายๆ 4 ข้อให้ขึ้นใจไว้เลยว่า “ล้างแผล ใส่ยา ขังหมา หาหมอ” โดย
1.รีบล้างแผลด้วยน้ำสะอาดและสบู่ เพื่อขจัดน้ำลายที่อาจมีเชื้อปะปนมา
2.จากนั้นใส่ยาฆ่าเชื้อซึ่งอาจเป็นทิงเจอร์ไอโอดีน หรือเบตาดีนก็ได้
3.หากเป็นสัตว์ที่ไม่รู้จัก หรือแม้แต่สัตว์เลี้ยงที่ฉีดพิษสุนัขบ้าแล้วก็อย่าเพิ่งวางใจ ให้ขังหรือกักบริเวณสัตว์ไว้เพื่อเฝ้าดูอาการประมาณ 2 สัปดาห์ หากสัตว์มีอาการผิดปกติหรือเสียชีวิตให้รีบแจ้งแพทย์ผู้รักษา
4.เมื่อใส่ยาแล้วให้รีบไปพบแพทย์โดยด่วน เพื่อฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้าและป้องกันบาดทะยัก (ในกรณีที่ไม่เคยฉีดมาก่อนหรือเคยฉีดแล้วแต่ยังไม่ได้รับการกระตุ้น รวมถึงเคยฉีดครบแล้วแต่มีระยะเวลาเกิน 10 ปีไปแล้ว) ทั้งนี้คุณหมออาจพิจารณาให้ยาอื่นตามอาการและอาจมีความจำเป็นต้องได้รับ Immunoglobulin หากมีความเสี่ยงสูงมากๆ เช่น ถูกกัดบริเวณใบหน้า ใกล้สมอง หรือบริเวณที่มีเลือดมาเลี้ยงมากๆ
ทั้งนี้ หากสัตว์เสียชีวิตในช่วงที่กักบริเวณไว้ ให้เอาซากไปส่งตรวจโดยด่วน ซึ่งอวัยวะที่ใช้ตรวจคือ “สมอง” ของสัตว์ที่สงสัยว่าติดเชื้อ หากเป็นสุนัขเล็กก็สามารถส่งซากสัตว์ทั้งตัวได้เลย แต่ถ้าเป็นสุนัขตัวโต ก็อาจให้เอาส่วนหัวของสัตว์ ใส่ถุงพลาสติกชั้นหนึ่ง แล้วเอาถุงนั้นแช่น้ำแข็งอีกชั้นหนึ่ง (ต้องระวังอย่าให้มือเราเปื้อนน้ำลายสัตว์) จากนั้นนำไปส่งสถานบริการตรวจหาเชื้อไวรัสโรคพิษสุนัขบ้า ได้แก่ สถานเสาวภา สภากาชาดไทยกรมปศุสัตว์ เป็นต้น (อย่าปล่อยให้ซากสัตว์เริ่มเน่า เพราะจะไม่สามารถหาเซลล์ในสมองที่ติดเชื้อไวรัสได้)
การป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า สามารถทำได้ว่ายๆ ดังนี้
1.พาสุนัขและแมวไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าตั้งแต่อายุครบ 3 เดือน และฉีดกระตุ้นซ้ำอีกครั้งห่างจากเข็มแรก1 เดือน จากนั้นฉีดกระตุ้นเป็นประจำทุกปี
2.เมื่อได้รับสุนัขและแมวใหม่มาเลี้ยง ควรตรวจสอบประวัติการฉีดวัคซีน และพาไปพบสัตวแพทย์เพื่อรับวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้ารวมถึงโรคอื่นๆ ด้วย
3.อย่าปล่อยให้เด็กเล็กเล่นกับสุนัขหรือแมวที่ไม่คุ้นเคยตามลำพัง รวมถึงควบคุมไม่ให้แกล้งหรือรบกวนสัตว์ เพราะมีความเสี่ยงต่อการโดนกัด
4.เลี่ยงการสัมผัสน้ำลายของสัตว์ที่ไม่มีประวัติการฉีดวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้า
5.ไม่ควรใช้มือเปล่าล้วงปากหรือคอ เพื่อช่วยเหลือสุนัขหรือแมวที่แสดงอาการเหมือนมีอะไรติดคอ โดยที่ไม่เห็นว่าสัตว์คาบหรือกลืนอะไรลงไป เพราะนั่นอาจเป็นอาการของโรคพิษสุนัขบ้าได้
6.ไม่คลุกคลีกับสัตว์นอกบ้าน ที่ไม่มีเจ้าของ หรือสัตว์ที่ไม่ทราบประวัติการฉีดวัคซีน
อย่าลืมนะครับว่า การเลี้ยงสัตว์นั้น ต้องเลี้ยงด้วย “ความรัก”ไม่แหย่ แย่ง หรือแกล้ง ให้สุนัขโมโหนั้นอาจเป็นสาเหตุให้สุนัขก้าวร้าว ขี้โมโห กัดคนง่ายๆ ได้ครับ
และในช่วงนี้ หากท่านมีการนัดหมายฉีดวัคซีนโควิด-19 นั้น แต่มาถูกสุนัขไม่ทราบประวัติกัดพอดี ก็อย่าลืมไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าก่อนเลยนะครับ (ไม่จำเป็นต้องเว้นระยะเวลา 1 เดือนเหมือนวัคซีนไข้หวัดใหญ่) สามารถทำควบคุ่กันได้เลย เพียงแต่แยกฉีดคนละจุดกันเท่านั้น เนื่องจากเป็นโรคที่อันตรายถึงชีวิตทั้งคู่ ขอเรียนย้ำอีกครั้งนะครับว่า “เมื่อระมัดระวังและป้องกันตัวจากโควิด-19 แล้ว ก็อย่าลืมป้องกันตัวจากโรคพิษสุนัขบ้าด้วย เพราะเป็นโรคที่อันตรายเช่นกันครับ”
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร
ฝ่ายประชาสัมพันธ์และส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร
คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี