เหตุการณ์เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ที่ผ่านมา (2021) การันตีได้เป็นอย่างดีว่า สื่อสังคมออนไลน์อย่างเฟซบุ๊ค (Facebook) เป็นหนึ่งเดียวกับการดำเนินชีวิตของมนุษย์ไปเสียแล้ว หลังเกิดเหตุขัดข้องทำให้สมาชิกทั่วโลกไม่สามารถเข้าถึงแพลตฟอร์มของเฟซบุ๊คได้ ในช่วงระยะเวลาประมาณ 7 ชั่วโมง ซึ่งเป็นการหยุดชะงักทางเทคนิคอันยาวนานที่สุด ตั้งแต่แพลตฟอร์มของเฟซบุ๊คเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการสำหรับทุกคนในปี 2006
การปิดการเข้าถึงของเฟซบุ๊คนั้น กลายเป็นประเด็นสนทนาใหญ่ทั้งแบบออนไลน์ และออฟไลน์ ที่สำคัญสื่อสารมวลชนในทุกแพลตฟอร์มให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงปรากฏพาดหัวกรณีดังกล่าวบนหนังสือพิมพ์ และการรายงานความเคลื่อนไหวผ่านสำนักข่าวทางโทรทัศน์ทั่วโลก อิทธิพลของความสนใจยังส่งผลให้หุ้นของเฟซบุ๊คในตลาดที่สหรัฐอเมริกาหดตัวลงมากถึง 4.89%และมีรายงานผลกระทบต่อสมาชิกที่ใช้งานทั้งแบบบุคคลทั่วไป และผู้ประกอบการถึง 3,000 ล้านบัญชีทั่วโลก
แน่นอนว่า ประเด็นการหายไปจากโลกในเวลา 7 ชั่วโมงของเฟซบุ๊คและแพลตฟอร์มที่เป็นเครือข่ายสนับสนุน อาจได้รับการนำเสนอไปถึงเรื่องผลกระทบของผู้ใช้งาน และต้นเหตุของปัญหาทางเทคนิค ซึ่งอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน รวมไปถึงผู้ประกอบการที่ต้องอาศัยแพลตฟอร์มของเฟซบุ๊คในการทำมาหากิน แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เฟซบุ๊คได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่ขาดไม่ได้ไปเสียแล้ว และที่น่ากังวลก็คือ พื้นที่ตรงนี้ได้สร้างความผูกพันต่อผู้ใช้งานอย่างลึกซึ้ง จนอาจนำไปสู่ความไว้วางใจต่ออำนาจทางข้อมูลที่จะได้รับการบริหารจัดการอย่างเหมาะสม ปราศจากการหาประโยชน์ใดๆ ทั้งทางธุรกิจ การเมืองและการสร้างความรู้สึกร่วมต่อประเด็นใดๆซึ่งถ้าเป็นไปในแนวทางเช่นนี้ก็คงไม่มีปัญหา
แต่ถ้าไม่ล่ะ? นี่จึงเป็นเรื่องที่อยากชวนให้มาลงรายละเอียดกัน เพื่อความเท่าทันต่อบริการสื่อสารสังคมไร้พรมแดนภายใต้การบริหารจัดการในนามขององค์กรภาคธุรกิจเช่นนี้
ย้อนให้หลังไปในปี 2015 เกิดกรณีการสังหารหมู่ขึ้นที่รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ซึ่งตำรวจได้ทำการวิสามัญคนร้ายจนเสียชีวิตในพื้นที่ และสามารถเก็บหลักฐานเป็นโทรศัพท์ไอโฟนได้ ทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงต้องการทราบข้อมูลของคนร้าย และความเชื่อมโยงของกลุ่มก่อการร้าย จึงติดต่อไปยัง “บริษัทแอปเปิ้ล” ในฐานะผู้ผลิตไอโฟน เพื่อให้ทำการปลดล็อกข้อมูลที่อยู่ในโทรศัพท์เครื่องดังกล่าวให้แต่ “ทิม คุก” (Tim Cook) ประธานบริหารของบริษัทแอปเปิล ปฏิเสธ และให้เหตุผลด้านความปลอดภัยของผู้ใช้งาน จนมีการฟ้องร้องศาลอย่างใหญ่โต ซึ่งในกรณีดังกล่าวนี้“มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก” (Mark Zuckerberg)ผู้ให้กำเนิดแพลตฟอร์มเฟซบุ๊ค และประธานบริหารของบริษัทก็ออกมาสนับสนุนการปกป้องข้อมูลของผู้ใช้งาน แม้ว่าจะมีประเด็นทางศีลธรรมกำกับอยู่ก็ตาม แต่หลังจากนั้น เฟซบุ๊คของพี่มาร์คก็ตกอยู่ในข้อกล่าวหาสร้างความไม่ปลอดภัยต่อผู้ใช้งานมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของข้อมูลผู้ใช้งานที่ถูกนำออกไปใช้การผลิตความเกลียดชังเพื่อผลลัพธ์ทางธุรกิจ หรือแม้แต่ประเด็นการผูกขาดอำนาจทางเศรษฐกิจ และการเมือง
ถ้าจำกันได้ในคดีของ “เคมบริดจ์ อนาไลติกา” เมื่อปี 2018 ซึ่งบริษัทสัญชาติอังกฤษแห่งนี้ ถูกกล่าวหาว่าได้นำข้อมูลผู้ใช้งานจากเฟซบุ๊คกว่า 50 ล้านบัญชีเอามาใช้ประโยชน์ในการช่วยหาเสียงให้“โดนัลด์ ทรัมป์” ผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน ในตอนนั้น (2016)จนสามารถเอาชนะ “ฮิลลารี่ คลินตัน” ผู้ท้าชิงอีกคนจากพรรคเดโมแครต ไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ (อันที่จริง มีกรณีของผลโหวต Brexit ของสหราชอาณาจักร ที่ผลโหวตออกจาก EU สามารถเอาชนะฝั่งที่ต้องการอยู่ต่อ (Remain) ได้อย่างน่าประหลาดใจ จนถูกตั้งข้อสงสัยในความไม่ปกติ และเคมบริดจ์อนาไลติกา ก็อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้เช่นกัน)
“ตอนที่เรารู้เรื่องของเคมบริดจ์อนาไลติกา เราเข้าใจว่า ลบข้อมูลทั้งหมดแล้ว ซึ่งมันเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ซึ่งจากเรื่องนี้ เรามีการปรับปรุงกฎในเฟซบุ๊คเพื่อให้แน่ใจว่า จะไม่เกิดอะไรแบบนี้ขึ้นอีก”นี่เป็นส่วนหนึ่งของคำให้การจากมาร์กซัคเคอร์เบิร์ก ต่อวุฒิสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2018 และมาร์กได้ยอมรับว่าเฟซบุ๊คนั้น ช่วยในการหาเสียงของทรัมป์จริง แต่ก็ช่วยนักการเมืองคนอื่นเช่นกัน ซึ่งผ่าน“ยอดการซื้อโฆษณา” ของแต่ละคน ท้ายที่สุดรัฐบาลสหรัฐฯ สั่งปรับเงิน 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (150,000 ล้านบาท) ในโทษฐานทำข้อมูลส่วนตัวของประชาชนรั่วไหล
หลังจากนั้นในปี 2019 ก็มีประเด็นที่ ชื่อผู้ใช้งาน กับ เบอร์โทร และประวัติการใช้งานต่างๆ ของสมาชิกในเฟซบุ๊ค จำนวน267 ล้านบัญชี ถูกนำไปเผยแพร่ในเว็บมืดส่วนในปี 2020 เฟซบุ๊คได้กลายเป็นเป้าโจมตีเกี่ยวกับการเป็นพื้นที่ในการสื่อสารข่าวปลอม โดยเฉพาะการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19ซึ่งสร้างความสับสนให้แก่การบริหารจัดการด้านสาธารณสุขของรัฐบาลในหลายประเทศ และเพิ่มความกังวลให้แก่ประชาชนทั่วโลก รวมไปถึงประเด็นของข้อความที่อาจสร้างความเกลียดชัง ผ่านกรณีการเสียชีวิตของ “จอร์จ ฟรอยด์” ชายผิวสีที่ตายระหว่างถูกตำรวจทำการจับกุม ซึ่งไปเชื่อมโยงกับเรื่องของการเหยียดสีผิว ที่ได้รับการนำเสนอผ่านแพลตฟอร์มของเฟซบุ๊คอย่างโจ่งแจ้ง และมหาศาล ถึงขนาดที่ผู้สนับสนุนของเฟซบุ๊คที่เป็นบริษัทชั้นนำกว่า 900 แห่ง ประกาศงดการลงโฆษณาบนเฟซบุ๊ค และแพลตฟอร์มเครือข่าย จนกว่าเฟซบุ๊คจะจัดการกับปัญหาเหล่านี้ได้สำเร็จ ซึ่งภายหลังเฟซบุ๊คก็เข้าไปให้ความสำคัญต่อประเด็นเหล่านี้มากขึ้น กระนั้น ด้วยวิจารณญาณในการแบนหรือไม่แบนข้อความหรือการนำเสนอใดๆ ก็กลายมาเป็นประเด็นถัดมาที่สังคมเริ่มตั้งคำถามต่อเฟซบุ๊ค ถึง “สิทธิเสรีภาพ” ในการแสดงความคิดเห็น ว่าขอบเขตควรต้องอยู่ตรงไหน หลังจากที่เรื่องความฝักใฝ่ทางการเมืองถูกตั้งเป็นเหตุผลหนึ่งของการแบนและไม่แบนข้อความหรือการนำเสนอใดๆ ของเฟซบุ๊คในยุคหลังนี้
และล่าสุด (2021) “ฟรานเซส เฮาเกน” อดีตพนักงานของเฟซบุ๊ค ได้ออกมาให้ข้อมูลผ่านรายการของสถานีโทรทัศน์ CBS แห่งสหรัฐอเมริกา ว่าเฟซบุ๊คไม่ได้สนใจที่จะจัดการกับการสร้างความเกลียดชังบนแพลตฟอร์มใดๆ รวมไปถึงกรณีของข่าวปลอม เพราะเฟซบุ๊คเลือกให้ความสำคัญกับรายได้มากกว่าสังคม
“การวิจัยของเฟซบุ๊คพบว่าการปลุกเร้าคนให้โกรธง่ายกว่าการปลุกเร้าคนให้เกิดอารมณ์ด้านอื่น นั่นทำให้บริษัทตระหนักว่า การปรับอัลกอริทึ่มให้ปลอดภัย คนจะใช้งานเฟซบุ๊คน้อยลง และยอดโฆษณาก็ลดลง ส่งผลให้รายได้ของบริษัทตกลงตามไปด้วย” ส่วนหนึ่งในการให้สัมภาษณ์ของเฮาเกน
แม้ว่า มาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก จะออกมาปฏิเสธคำกล่าวหาทั้งหมด ที่ถูกเปิดเผยโดยฟรานเซส เฮาเกน รวมไปถึงคนอื่นๆ แล้วก็ตาม แต่เชื่อว่า การวางใจต่อแพลตฟอร์มดังกล่าวนี้แบบ 100% อาจไม่ใช่คำตอบที่ดีนักสำหรับสังคม โดยเฉพาะต่อเยาวชน หรือผู้ที่มีปัญหาด้านความอ่อนไหวทางจิตใจ เพราะเป้าหมายของธุรกิจ คือการสร้างรายได้ และพวกเขาเหล่านั้น “มีราคาที่ต้องจ่าย” เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งนี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี