COP26 หรือ Conference of the Parties ครั้งที่ 26 เป็นการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตามกรอบอนุสัญญาของ UNFCCC (United Nations Framework Convention on Climate Change) ที่จัดขึ้น ณ เมืองกลาสโกว์สกอตแลนด์ ระหว่างวันที่ 1-12 พฤศจิกายน ในปีนี้ (2021)
อันที่จริง COP26 ควรเกิดขึ้นในเวลาเดียวกันนี้ เมื่อปีที่แล้ว (2020) แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้งานใหญ่ครั้งนั้นต้องถูกเลื่อนมาในปีนี้ นอกจากประเด็นการจัดงานประชุมระดับโลกขนาดใหญ่ที่สุดครั้งแรก ภายหลังการเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19ด้วยบุคลากรกว่า 3 หมื่นคน และผู้นำ จาก 196 ประเทศ ที่สื่อทั่วโลกพยายามจับตาความเคลื่อนไหวทางด้านมาตรการสาธารณสุข และความพยายามคืนสู่ความปกติใหม่ (New Normal) ในการดำเนินไปของพลวัตรโลกแล้ว การแสดงความจริงใจในการบริหารจัดการสภาพภูมิอากาศของแต่ละประเทศ รวมไปถึงการนำเสนอข้อมูลจากบุคคลสำคัญ อันเป็นผู้นำทางความคิดด้านสิ่งแวดล้อม ที่ได้รับเชิญมาแสดงเจตจำนงด้วยตัวเอง ก็เป็นประเด็นที่ทั่วโลกให้การจับตา เพราะทั้งหมดนี้จะทำให้เราได้เห็นฉากทัศน์อันชัดเจนที่โลกจะดำเนินไปภายใต้สถานการณ์สิ่งแวดล้อมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ด้วยความสนใจด้านสิ่งแวดล้อมเป็นทุนเดิม และเห็นว่า ความรับผิดชอบในเรื่องนี้ควรต้องเป็นหน้าที่ของทุกคน ในการปรับการดำเนินชีวิตให้สอดคล้องต่อความเชื่อมโยงกับธรรมชาติอย่างปลอดภัย จึงพยายามรวบรวมรายละเอียดที่น่าสนใจ อันได้รับการนำเสนอออกมาจาก COP26 ทั้งผ่านสื่อสารมวลชนแขนงต่างๆ หรือฝ่ายประชาสัมพันธ์ของงานประชุมเองก็ตาม เพื่อสร้างการตระหนักถึง “ความใส่ใจ” ระหว่างมนุษย์ ต่อธรรมชาติ ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน ว่าเราเดินทางถึงจุดไหน และมีปลายทางอยู่ที่ใด ดังนี้
เริ่มที่ “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา นอกเหนือไปจากการแสดงความผิดหวังในประเด็นที่ประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” แห่งจีน และประธานาธิบดี “วลาดิมีร์ ปูติน” แห่งรัสเซีย ไม่ได้เดินทางมาที่งานประชุมนี้ด้วยตัวเองแล้ว ไบเดนยังได้ให้ความมั่นใจกับโลกว่า สหรัฐฯ จะเป็นผู้นำในการแก้ไขภาวะโลกร้อนอย่างเต็มกำลัง หลังจากที่ก่อนหน้านี้อดีตประธานาธิบดี “โดนัลด์ทรัมป์” แสดงท่าทีไม่เห็นด้วยสำหรับการที่สหรัฐฯ จะเป็นกำลังหลักในความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมระดับโลก และถอนตัวออกจากข้อตกลงในเรื่องการแก้ปัญหาโลกร้อนที่ทำพันธะสัญญาร่วมกันกับ 196 ประเทศที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส ในปี 2015 ซึ่งเป็นต้นเรื่องของการมาประชุมร่วมกันในครั้งนี้ เพื่อที่จะเปิดโอกาสให้ผู้นำในแต่ละประเทศที่ทำพันธะสัญญาในครั้งนั้นได้รายงานความคืบหน้าของนโยบายในแต่ละประเทศ และการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อม อันสอดคล้องกับเป้าหมายที่มีร่วมกัน คือ การควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มเกินกว่า 1.5 องศาเซลเซียส (หรือยับยั้งไม่ให้อุณหภูมิโลกเพิ่มสูงขึ้นเกินกว่า 2 องศาเซลเซียสในเบื้องต้น)
นอกจากนั้น ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบัน ก็ได้กล่าวถึงแผนงานด้านสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลที่มีชื่อว่า President’sEmergency Plan for Adaptation and Resilience ที่ใช้งบประมาณกว่า 3 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งถ้าจำกันได้ตอนหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2020นโยบายสิ่งแวดล้อมที่ไบเดนนำเสนอ ก็มีความเชื่อมโยงกับแผนงานนี้ แต่ตั้งเป้าการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ให้เหลือศูนย์ เป็นภายในปี 2035 การปรับแก้กฎหมายทางภาษีเพื่อสร้างแรงจูงใจในการใช้รถยนต์ไฟฟ้า และการสนับสนุนเกี่ยวกับการพัฒนาแบตเตอรี่ รวมไปถึงเพิ่มงบประมาณด้านการวิจัยและพัฒนาพลังงานสะอาด ฯลฯ
ส่วนทางจีน แม้ว่าตัวของประธานาธิบดีไม่ได้มาด้วยตัวเอง แต่ก็ส่งทีมงานมาประชุมล่วงหน้า และอยู่ร่วมการประชุมจนจบ รวมไปถึงการสื่อสารผ่านออนไลน์จากประธานาธิบดีสี ที่ยืนยันจะให้ความร่วมมือกับนานาประเทศในการลดโลกร้อนอย่างเต็มที่ และให้คำมั่นสัญญาว่า การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะถึงจุดสูงสุดภายในปี 2030 และจีนจะกลายเป็นประเทศที่มีการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในอีก 30 ปีต่อมา ด้วยมาตรการทางกฎหมาย การสนับสนุนการวิจัยพลังงานสะอาด และการสร้าง “อ่างกักเก็บคาร์บอน” (Carbon Sink) ที่เริ่มไปแล้วในหลายพื้นที่ (แหล่งดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ เช่น การเก็บไว้ในดินในรูปของอินทรีย์สาร การเก็บไว้ใต้ชั้นหินในมหาสมุทร และการปลูกป่า)
ปิดท้ายด้วยตัวแทนของนักอนุรักษ์ที่มาปรากฎตัวในงาน COP26 ด้วย นั่นคือ“เกรตา ธันเบิร์ก” วัย 18 ปีจากสวีเดน และ “วาเนสซา นากาเต” นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมชาวยูกันดา ซึ่งทั้งสองร่วมกันเขียนจดหมายเปิดผนึกส่งให้สื่อมวลชนทั่วโลก ก่อนที่งาน COP26 จะเริ่มต้นขึ้นเพื่อแสดงเจตนารมณ์ต่อการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมในมุมมองและแนวทางของระดับผู้บริหารในแต่ละประเทศ อันมีใจความโดยสรุปว่า
วิกฤตการณ์ทางธรรมชาติ ที่สร้างความเสียหายในแต่ละประเทศ เป็นการบ่งบอกถึงอันตราย ทั้งต่อระบบนิเวศ และมนุษยชาติ แน่นอนว่ารัฐบาลในหลายประเทศรับทราบถึงปัญหาเหล่านี้ และให้ความสนใจในการแก้ไข และป้องกัน รวมไปถึงการสื่อสารต่อพลเมือง แต่ประเด็นก็คือ ปัญหาสิ่งแวดล้อมมันมีความลึกซึ้งมาก จึงอยากให้ความสำคัญเกี่ยวกับการรายงานประเด็นขั้นพื้นฐานในมิติของเวลา การคิดแบบองค์รวม และประเด็นเรื่องความยุติธรรม อันเกี่ยวเนื่องกับปัญหาสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปด้วย
“ประการแรก แนวคิดเรื่องเวลาหากเรื่องราวการนำเสนอของคุณไม่ได้รวมเอาแนวคิดของเวลาใส่ไว้ วิกฤตสภาพภูมิอากาศก็เป็นเพียงหัวข้อทางการเมือง ไม่ต่างจากหัวข้ออื่นๆ ซึ่งเราสามารถซื้อ สร้าง หรือลงทุนเพื่อเอาตัวรอดได้ ดังนั้น การละทิ้งมิติของเวลา ก็เท่ากับว่า ปล่อยปัญหาให้มันลุกลามไปเรื่อยๆ แล้วค่อยไปแก้ไขเอาในภายหลัง...
ประการที่สอง การคิดแบบองค์รวม หากพิจารณาจากงบประมาณคาร์บอนที่เหลืออยู่ เราจำเป็นจะต้องนับรวมจำนวนและปริมาณทั้งหมดของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้น ปัจจุบันเรากำลังปล่อยให้บรรดาประเทศที่มีรายได้สูง และเป็นผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ หลบอยู่หลังสถิติที่ไม่สมบูรณ์ เต็มไปด้วยช่องโหว่ และถ้อยคำโน้มน้าวชักจูงให้คล้อยตาม...
ประการที่สาม ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ความยุติธรรม วิกฤตสภาพภูมิอากาศไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเกี่ยวกับสภาพอากาศที่รุนแรงเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับผู้คนจำนวนมากที่แทบจะไม่ได้มีส่วนก่อให้เกิดวิกฤตสภาพภูมิอากาศเลย แต่กลับเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยเฉพาะคนซีกโลกใต้ที่เปรียบเสมือนอยู่หน้าด่านของวิกฤตสภาพภูมิอากาศในครั้งนี้ พวกเขาแทบจะไม่เคยปรากฏอยู่ในหน้าสื่อหนังสือพิมพ์ต่างๆ ของโลกเลย ในขณะที่สื่อตะวันตกจับจ้อง และรายงานแต่ข่าวไฟป่าในแคลิฟอร์เนีย หรือในออสเตรเลีย วิกฤตน้ำท่วมในยุโรป...”
นี่เป็นข้อความส่วนหนึ่งจากจดหมายเปิดผนึกของนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมรุ่นใหม่ทั้ง 2 ท่าน ที่แสดงความต้องการที่มากขึ้นในเรื่องของสิ่งแวดล้อมต่อผู้นำในหลายประเทศรวมไปถึงในตอนท้ายนั้น ทั้งสองได้เรียกร้องต่อสื่อสารมวลชนทั่วโลก ให้ติดตามการปฏิบัติงานด้านสิ่งแวดล้อมของผู้นำทั่วโลกตามที่ได้ให้พันธะสัญญาเอาไว้ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ต่อสิ่งแวดล้อมในทันทีทันใด ซึ่งประเด็นนี้ต้องถือว่าเป็น “หัวใจสำคัญ” ที่ทำให้สารจากผู้นำ จะไม่กลายเป็นเพียงแค่สุนทรพจน์ที่จับต้องไม่ได้ และเลือนหายไปตามความนิยมทางการเมืองของตัวเองเท่านั้น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี