“ผมเชื่อมานานแล้วว่า แว่นตาจะกลายเป็นส่วนสำคัญในการสร้างแพลตฟอร์มสำหรับคอมพิวเตอร์รุ่นต่อๆ ไป” มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) โพสต์ข้อความดังกล่าวนี้ ในช่วงต้นเดือนกันยายน (2021) ที่ผ่านมา จากนั้นเพียงไม่กี่วัน“เฟซบุ๊ค” (Facebook) ก็ได้เปิดตัว “Ray-Ban Stories” แว่นตาอัจฉริยะที่ทางเฟซบุ๊คได้ทำการพัฒนาร่วมกับบริษัทเอสซีเรอร์ (Essilor Luxottica) เจ้าของแบรนด์แว่นตา “เรย์แบน”(Ray-Ban) ที่ได้รับความนิยมในอันดับต้นๆ ของโลก
“แนวคิดแว่นตาเสมือนจริงจะช่วยให้เราสามารถมีส่วนร่วมไปกับโลกออนไลน์ พร้อมๆ กับผู้คนรอบตัวได้เช่น ในเวลาขี่จักรยาน แล้วไปเจอภาพวิวสวยๆ ถ้าเราจะเอามือถือออกมาถ่ายรูปไปด้วย ก็เป็นการเสี่ยงอันตรายหรือถ้าจะหยุดจอดแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่าย บางทีมันก็ไม่สะดวก แต่สำหรับ Ray-Ban Stories เราสามารถทำทั้งสองอย่างไปพร้อมๆ กันได้ สามารถเชื่อมโยงความสุข ทั้งจากโลกออกไลน์ และโลกแห่งความเป็นจริงไปพร้อมๆ กัน ด้วย Augmented Reality (AR) หรือการสร้างสภาพแวดล้อมเสมือนจริง ซึ่งตรงนี้เองจะเป็นจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่ Metaverse”
นี่เป็นคำอธิบายจากทีมผลิต Ray-Ban Stories ถึงศักยภาพของแว่นตาในราคา 299 ดอลลาร์ (ราว 9,200 บาท) ที่มีไว้สำหรับฟังเพลง หาข้อมูล รับโทรศัพท์ถ่ายภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว รวมไปถึงการเชื่อมต่อกับเครือข่ายสังคมออนไลน์เฟซบุ๊คแบบไร้รอยต่อ (เสมือนจริง) แต่ประโยคที่สื่อสารมวลชน รวมไปถึงบรรดาคนในวงการธุรกิจและเทคโนโลยีให้ความสนใจก็คือ “Metaverse” เพราะมีข้อมูลได้รับการส่งต่อมาเกี่ยวกับการพัฒนาOculus VR เทคโนโลยีรับภาพเสมือนจริงและสายรัดข้อมือที่มีไว้รองรับแว่นตาอัจฉริยะ ซึ่งเครื่องมือทั้งหมดนี้ จะทำหน้าที่สนับสนุนการข้ามผ่านจาก “โลกไร้พรมแดน” ไปสู่ “โลกเสมือนจริง” ประกอบกับการเปลี่ยนชื่อบริษัทจาก Facebook เป็น Meta จึงเกิดข้อสันนิษฐานว่า ยุคของ Metaverse กำลังจะมาถึงในเร็ววันนี้
แม้ว่าสื่อสารมวลชนบางสำนักจะวิเคราะห์ว่า การเปิดประเด็น Metaverseเป็นเพียงการกลบเกลื่อนข่าวฉาวของเฟซบุ๊ค และตัวของประธานบริษัท“มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก” หลังจากที่อดีตพนักงานระดับสูงของบริษัทได้ออกมาให้ข้อมูลด้านลบเกี่ยวกับพฤติกรรมทางธุรกิจของเฟซบุ๊ค และการบริหารแนวทางของ CEO ที่หมิ่นเหม่ต่อการขัดกับหลักกฎหมาย และจริยธรรมขั้นพื้นฐานของมนุษย์ กระนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การนำเสนอของเฟซบุ๊ค โดยเฉพาะความเคลื่อนไหวอย่างเป็นระบบของมาร์คเอง ในการพาโลกให้ขยับเข้าไปใกล้พื้นที่ของ Metaverse นั้นเป็นที่น่าสนใจอย่างมาก ที่สำคัญ ข่าวจากวงในบริษัทเฟซบุ๊คได้เผยว่า มาร์คได้ตั้ง“เรียลิตี้แล็บส์” (Reality Labs) ทีมพัฒนาระบบขับเคลื่อนภาพเสมือนจริงของเฟซบุ๊คให้เป็นเจ้าภาพหลัก และตั้งเป้าใส่เงินลงไปสำหรับโครงการนี้กว่า1 หมื่นล้านบาท โดยมีเป้าหมายภายใน10 ปี จะต้องมีสมาชิกเข้าไปอยู่ในโลกเสมือนจริงที่เขาพยายามสร้างขึ้นมานั้นกว่า 1 พันล้านคน
ดังนั้น พื้นที่ตรงนี้จึงอยากชวนมาลองคิดกันดูว่า ถ้าวันหนึ่ง Metaverse เกิดขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แบบ ทุกคนสามารถเข้าไปเชื่อมต่อกับโลกเสมือนจริงตรงนั้นได้อย่างสะดวกสบาย โลกของเราใบนี้จะเปลี่ยนไปอย่างไร ซึ่งก่อนอื่นก็คงต้องมาว่ากันด้วยเรื่องของ “อุปกรณ์”(Device) ในการเปิดประตูสู่อนาคตตรงนี้กันก่อน โดยส่วนตัวเชื่อว่า น่าจะยังคงเป็นเทคโนโลยีที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ ทั้งสมาร์ทโฟน แท็บเลต หรือคอมพิวเตอร์ในรูปแบบต่างๆ รวมไปถึงนาฬิกา แว่นตา และอาจเป็นอุปกรณ์ของ IOT (Internet of Thing) อาทิ ระบบสั่งการภายในบ้าน หรือหุ่นยนต์สมองกล ทั้งหมดจะผ่านโครงข่ายสื่อสารในรูปแบบอินเตอร์เนต แอปพลิเคชั่น รวมไปถึงซอฟต์แวร์ต่างๆ ตามแต่การพัฒนาของแต่ละบริษัท อันมีการคาดเดากันว่า หลังจากนี้ไม่ถึง 5 ปี ราคาของอุปกรณ์หรือค่าบริการต่างๆ เกี่ยวกับการเข้าถึงโลกเสมือนจริงแห่งอนาคตนี้ จะได้รับการกดลงมาจนทุกคนสามารถจับต้องได้อย่างไม่ลำบากนัก เพราะหลายบริษัทด้านเทคโนโลยีต่างก็ทำการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตัวเองสำหรับรองรับพื้นที่แห่งอนาคตตรงนี้กันอย่างหนักนั่นหมายถึงการแข่งขันด้านราคา และประสิทธิภาพย่อมจะเกิดขึ้นตามมาโดยปริยาย
คิดกันง่ายๆ ก็เหมือนสมัยที่เรามีโทรศัพท์เคลื่อนที่รุ่นกระติกน้ำ เครื่องมือรับข้อความแบบพกพา โทรศัพท์บ้านเคลื่อนที่ จนขับเคลื่อนมาสู่ในแบบปัจจุบัน ดังนั้น ในเรื่ององค์ประกอบของ Metaverse กับการเข้าถึงของทุกคนจึงน่าจะเป็นเรื่องของระยะเวลา และการพัฒนาธุรกิจบนพื้นที่แห่งอนาคตให้ตอบรับกับการดำเนินชีวิตของเราเป็นสำคัญจึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า Metaverse จะเป็นหนึ่งเดียวกับโลก และมนุษย์อย่างกลมกลืน เมื่อเวลาแห่งอนาคตนั้นเดินทางมาถึง
ในวันนั้น เราจะสามารถเดินเที่ยวชมสถานที่สำคัญต่างๆ ทั่วโลก ทั้งพิพิธภัณฑ์ เมืองจำลอง หรืองานแสดงสินค้า วิวัฒนาการ หรือการเข้ารับชมการแสดงเสมือนจริง ไม่ว่าจะเป็นแสง สี เสียง รวมไปถึงบรรยากาศ จากคอนเสิร์ต ภาพยนตร์ สารคดี หรือแม้แต่งานประเพณีทางวัฒนธรรมประจำชาติ รวมไปถึงเทศกาลงานเฉลิมฉลองที่สำคัญตามฤดูกาล
ในวันนั้น เราจะสามารถเข้าทดลองสินค้า เลือกเฟ้น และพิจารณาได้อย่างสะดวกสบาย ส่งผลต่อการตัดสินใจของลูกค้า รวมไปถึงการสร้างบรรยากาศของร้านค้า และองค์ประกอบอันเอื้ออำนวยต่อการตัดสินใจของลูกค้า ให้มีความต้องการสินค้า และตกลงซื้อสินค้าได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
ในวันนั้น เราจะสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ผ่านโลกเสมือนจริง เพื่อผลลัพธ์ที่กลายเป็นจริง อาทิ การโปรโมทสินค้า การประชุมสัมมนา การเล่นกีฬาออกกำลังกายประเภทหมู่คณะ หรือการผจญภัยในรูปแบบต่างๆ
ในวันนั้น เราจะสามารถเข้ารับการผ่าตัดทางไกลเสมือนจริง โดยแพทย์ที่เชี่ยวชาญเฉพาะจากทั่วโลกได้ การให้คำปรึกษาทางด้านกายภาพบำบัด หรือการดูแลรักษาโรคทางจิตใจ สำหรับผู้ป่วยเดี่ยว และแบบกลุ่ม
และแน่นอนว่า เราจะมีสินค้า และบริการใหม่ๆ รวมไปถึงแพลตฟอร์มอันเชื่อมโยงกับโลกของ Metaverse เกิดขึ้น กิจกรรมทางธุรกิจ และความสัมพันธ์ของมนุษย์ จะสร้างโอกาสให้กันและกันอีกครั้ง ไม่ต่างจากช่วงเวลาที่เราได้ทำความรู้จักกับ “โลกไร้พรมแดน” ผ่านอินเตอร์เนต ผ่านเทคโนโลยีการสื่อสาร ผ่านเครือข่ายสื่อสังคมออนไลน์ผ่านเทคโนโลยีทางด้านการเงิน ฯลฯ
แต่ “เหรียญย่อมมี 2 ด้านเสมอ”ดังนั้น การรู้เท่าทันต่ออนาคตและโลกที่เปลี่ยนไปล่วงหน้า นอกจากโอกาสในการปรับตัว ปรับสังคม ปรับเครื่องมือทางเศรษฐกิจ สู่แนวทางหรือโอกาสใหม่ๆ แล้ว ในอีกทางก็เสมือนเป็นโจทย์สำคัญที่ทำให้เราได้ “ตกผลึก” ถึงปัญหาอันอาจจะสร้างความเสียหาย ทั้งทางกฎหมาย จริยธรรม และด้านเศรษฐกิจ ที่จะมาพร้อมกับอนาคตดังกล่าวนี้
Metaverse จึงมีความสำคัญต่อการพัฒนา และยับยั้งความเสียหายควบคู่กันไป ภายใต้ความ “ใส่ใจ” ของรัฐบาลในประเทศที่ให้ความสำคัญต่ออนาคตของพลเมืองอย่างแท้จริง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี