“ผมขอประกาศวางมือทางการเมืองเพื่อเคารพเจตจำนงของประชาชน ผู้ที่ให้โอกาสผมดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมอยากบอกกับประชาชนว่า ผมจะทำตามความต้องการของทุกคน เพราะการลงสมัครชิงเก้าอี้รองประธานาธิบดี อาจเป็นการละเมิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ”
ประโยคดังกล่าวนี้ของประธานาธิบดีคนปัจจุบัน “โรดริโก ดูเตร์เต” ของประเทศฟิลิปปินส์ เกิดขึ้นในช่วงเดือนตุลาคม (2021) ที่ผ่านมา หลังจากที่ก่อนหน้านี้ (สิงหาคม 2021) เขาได้เคยประกาศว่า จะขอลงสมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี หลังจากที่หมดวาระจากการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2022 เนื่องจากรัฐธรรมนูญของฟิลิปปินส์ได้กำหนดให้ประธานาธิบดีสามารถดำรงวาระได้เพียง 6 ปีเท่านั้น จึงไม่สามารถเข้ารับการเลือกตั้ง เพื่อกลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิมได้อีก
แต่แล้วกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โฆษกส่วนตัวของดูเตร์เต ก็ออกมาให้ข้อมูลว่า ตัวของดูเตร์เตอาจเปลี่ยนใจกลับมาเข้ารับการเลือกตั้งในตำแหน่งรองประธานาธิบดีอีกครั้ง แม้ว่าจะมีข้อครหาถึงความไม่เหมาะสมในการบิดเบือนเจตนารมณ์ของข้อกำหนดในรัฐธรรมนูญก็ตาม
จากนั้นอีกไม่กี่วันต่อมา ซึ่งตรงกับเส้นตายของการส่งรายชื่อลงสมัครรับเลือกตั้ง (15 พ.ย. 2021) ของฟิลิปปินส์ โรดริโก ดูเตร์เต ได้มอบอำนาจให้ทนายความส่วนตัวไปยื่นเอกสารการรับรองเพื่อสมัครชิงตำแหน่ง “สมาชิกวุฒิสภา” ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อเข้ารับการเลือกตั้งที่จะจัดขึ้นในเดือนพฤษภาคม ปี 2022 ในนามตัวแทนของพรรคพีดีดีเอส (PDDS) ซึ่งไม่ใช่พรรคพีดีพี-ลาบัน (PDP-Laban) ที่เป็นพรรคแกนนำรัฐบาลในปัจจุบัน และสนับสนุนดูเตร์เตให้เข้ารับการเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อครั้งที่ผ่านมา(2016)
ความโกลาหลในการหาทางกลับเข้าสู่อำนาจของประธานาธิบดีวัย 76 ปีคนนี้ มีความเชื่อมโยงกับทายาทของนักการเมือง 2 คน และทายาททั้งสองคนนั้นก็กลายมาเป็นนักการเมืองเต็มตัวในเวลานี้ คนแรกคือ “เฟอร์ดินานด์มาร์กอส จูเนียร์” หรือ “บองบอง” ลูกชายของอดีตประธานาธิบดีผู้อื้อฉาวของฟิลิปปินส์ “เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส”ที่ปกครองฟิลิปปินส์ด้วยระบอบเผด็จการนานถึงเกือบ 2 ทศวรรษ จนกระทั่งเกิดการปฏิวัติประชาชนโค่นล้มอำนาจของมาร์กอสคนพ่อลงมาได้ในปี 1986 ซึ่งทำให้ครอบครัวมาร์กอสต้องลี้ภัยไปยังสหรัฐอเมริกา ก่อนที่จะกลับมาตั้งรกรากที่ฟิลิปปินส์อีกครั้งในปี 1991 ภายหลังการเสียชีวิตของเฟอร์ดินานด์ (1989) จากนั้นอดีตสตรีหมายเลขหนึ่งที่อื้อฉาวไม่แพ้สามีอย่าง “อีเมลดา โรมวลเดซ มาร์กอส” ก็เดินหน้าเข้าสู่การเป็นนักการเมืองเต็มตัว ท่ามกลางข้อครหาเกี่ยวกับการคอร์รัปชั่นร่วมกับสามีในสมัยที่ยังเรืองอำนาจ ซึ่งยังไม่มีบทสรุปที่ชัดเจนในทางกฎหมาย และด้วยฐานเสียงสนับสนุนเก่าของเฟอร์ดินานด์ก็ทำให้ครอบครัวมาร์กอสได้กลับเข้ามาอยู่ในเกมแห่งอำนาจอีกครั้ง ทั้งมาร์กอสคนแม่ที่ได้เป็น สส. และมาร์กอสคนลูก หรือบองบอง ที่เข้ารับตำแหน่ง สว. ในปี 2010 ก่อนจะเข้ารับการเลือกตั้งเพื่อเป็นรองประธานาธิบดีในปี 2016 แต่ต้องพ่ายแพ้ให้กับ “เลนี โรโบรโด” รองประธานาธิบดีคนปัจจุบัน
ในปี 2022 เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ หรือบองบอง จะเป็นตัวแทนของพรรคพีดีพี-ลาบัน ในฐานะผู้เข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนต่อไป ซึ่งอย่างที่ทราบกันดีว่า พรรคการเมืองนี้เคยส่งดูเตร์เตให้กลายเป็นผู้นำสูงสุดแห่งฟิลิปปินส์มาแล้ว ดังนั้นโอกาสที่บองบองจะเป็นประธานาธิบดีคนใหม่จึงมีโอกาสเป็นไปได้สูงมาก กระนั้น เมื่อต้นปีที่ผ่านมา “สำนักโพล Pulse Asia” ได้จัดทำผลสำรวจเกี่ยวกับความนิยมของบุคคลที่ชาวฟิลิปปินส์ต้องการให้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ออกมาเผยแพร่ ปรากฏว่า บุคคลที่ชาวฟิลิปปินส์ต้องการให้เป็นประธานาธิบดีต่อจากดูเตร์เตนั้น ไม่ใช่ชื่อของบองบอง มาร์กอส จูเนียร์ แต่อย่างใด แต่กลับเป็น “ซารา ดูเตร์เต คาร์ปิโอ” นายกเทศมนตรีเมืองดาเวา และเป็นลูกสาวแท้ๆ ของประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ซึ่งเป็นนักการเมืองอีกท่านที่เป็นปัจจัยต่อความลังเลในการกลับสู่อำนาจรัฐของโรดริโก ดูเตร์เต ตามที่กล่าวมานั่นเอง
สำหรับนักวิเคราะห์การเมืองในฟิลิปปินส์เองมองว่า ถ้าต้องให้เลือกระหว่าง “เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์” ที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน กับลูกสาวของตัวเองแล้ว ดูเตร์เตคงต้องเลือกเลือดเนื้อเชื้อไขเป็นแน่แท้ เพราะเมื่อกล่าวถึงการเมืองเขาย่อมทราบดีว่า เป็นเรื่องที่ไม่เข้าใครออกใครดังนั้น การลงจากอำนาจของดูเตร์เตจึงมี “ความเสี่ยง” รออยู่มากมายตามอำนาจทางการเมืองที่ตัวเองได้บังคับใช้ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา
อาทิ การประกาศสงครามกับยาเสพติด บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด จนทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 6 พันคนจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ และปัจจุบันมีการส่งเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนนี้ไปที่ศาลอาญาระหว่างประเทศเพื่อทำการสอบสวนความจริงแล้ว รวมไปถึงการออกกฎหมายต่อต้านการก่อการร้ายฉบับใหม่ ที่มีเนื้อหาในการบังคับใช้อันเข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชนเกินกว่าหลักสากลกำหนด ซึ่งองค์กรสิทธิมนุษยชนสากลได้กล่าวหารัฐบาลของเขาว่า ออกกฎหมายดังกล่าวนี้ขึ้นมา เพื่อจัดการกับฝ่ายค้าน และกลุ่มบุคคลที่มีความเห็นต่างจากรัฐบาลของเขา อีกทั้งยังมีกรณีการลงโทษเกินกว่าเหตุของเจ้าหน้าที่ในการป้องการการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้นร่วมด้วย เป็นต้น
ทั้งหมดนี้ เป็นความเสี่ยงส่วนหนึ่งที่ดูเตร์เตได้ตระหนักดีว่า การหมดอำนาจทางการเมืองจะทำให้ตัวเขาเองสามารถเพลี่ยงพล้ำให้กับข้อกล่าวหาต่างๆ เหล่านี้ได้อย่างง่ายดายยิ่งนัก จึงไม่ผิดที่ตัวเขาเองจำต้องมีหลักประกันแห่งอำนาจยามที่ต้องลงจากหลังเสือในวันเวลาอันใกล้นี้ ซึ่งการกลับเข้าสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีนั้นเป็นไปไม่ได้ด้วยข้อกฎหมายกำหนด ส่วนการเข้าสู่ตำแหน่งรองประธานาธิบดีที่เหมือนเป็นการใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายเข้ามาช่วยนั้น ก็เกิดกระแสต่อต้านจากประชาชน อันสะสมมาอย่างต่อเนื่องหลังจากการบริหารจัดการด้านการแพร่ระบาดของโควิดที่ผ่านมาของเขาไม่เป็นที่น่าพอใจสำหรับชาวฟิลิปปินส์นัก ดังนั้น การซิกแซกทางการเมืองจะกลายเป็นเป้าโจมตีของคู่แข่งทางการเมือง และแน่นอนว่า อาจดึงคะแนนของมาร์กอส จูเนียร์ ที่สมัครชิงประธานาธิบดีจากพรรคการเมืองเดียวกันลงมาก็เป็นได้ เพราะตัวของมาร์กอสคนลูกเองก็มีแผลเป็นทางการเมืองที่ครอบครัวของเขาได้สร้างเอาไว้ในใจของชาวฟิลิปปินส์เช่นกัน
ความคาดหวังของดูเตร์เตผู้พ่อ จึงไปตกอยู่ที่ “ซารา ดูเตร์เต-คาร์ปิโอ” ลูกสาวที่ความนิยมสูงมากในหมู่ประชาชน (ผลจากโพลของ Pulse Asia) แต่เธอก็ไม่เลือกที่จะลงชิงชัยทางการเมืองสนามใหญ่ในตำแหน่งประธานาธิบดี แต่เลือกสมัครแข่งขันในตำแหน่งรองประธานาธิบดีแทน และเป็นคนละพรรคกับมาร์กอส จูเนียร์ ซึ่งอาจด้วยสาเหตุนี้ก็ได้ที่ดูเตร์เตคนพ่อถึงชักเข้าชักออกในการลงสมัครชิงชัยการเป็นรองประธานาธิบดี จนไปสรุปที่การลงสมัครเป็น สว. จากพรรคพีดีดีเอส
ดังนั้น ด้วยข้อสรุปที่บองบอง หรือมาร์กอสคนลูก เป็นประธานาธิบดี ซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน และมีลูกสาวคือ ซารา เป็นรองประธานาธิบดี ที่จะคะคานอำนาจกันได้ในอีกระดับหนึ่ง ส่วนผสมเช่นนี้ย่อมเป็นหลักประกันทางอำนาจที่มั่นคงสำหรับดูเตร์เต ในยามที่เขาต้องลงจากหลังเสือ และอาจต้องชนกับความเสี่ยงต่างๆ ที่รออยู่ในอนาคตข้างหน้า กระนั้น เขาก็ยังไม่วางใจ และวางแนวทางของการเป็นวุฒิสมาชิกให้กับตัวเองเอาไว้ เพื่อมีสิทธิในการประกันตัวในคดีอาญาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น และเป็นเครื่องมือทางอำนาจในการต่อรองกับรัฐบาลชุดใหม่ ในกรณีที่ศาลอาญาระหว่างประเทศมีความคืบหน้าในการสอบสวนคดีที่เป็นไปในทางลบต่อเขา ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้เข้าใจ ว่าทำไมใครต่อใครถึงไปจากเสือไม่ได้สักที แม้จะไม่มีโอกาสได้ขี่มันแล้วก็ตาม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี