อันที่จริงก็อยากเล่าเรื่องราวการประท้วงที่ประเทศ “คาซัคสถาน”ซึ่งล่าสุดมีรายงานผู้เสียชีวิตจากการชุมนุมต่อต้านการขึ้นราคาเชื้อเพลิงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กว่า 164 คน บาดเจ็บกว่า 2,200 คน ทั้งทางฝั่งมวลชนที่ออกมารวมตัวเรียกร้องรัฐบาล และทางฝั่งของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
เหตุการณ์ความรุนแรงดังกล่าวนี้ เกิดขึ้นหลังจาก “ฆาเซิม-โฌมาร์ต โตกาเยฟ” ประธานาธิบดีแห่งคาซัคสถาน ได้ประกาศคำสั่งให้ตำรวจ และทหาร สามารถ “ยิงสังหาร” เพื่อสลายการชุมนุมได้ด้วยเหตุผลว่า ผู้ประท้วงได้รับการปลุกปั่นจากผู้ก่อการร้ายที่ได้รับการสนับสนุนจากองค์กรต่างชาติ ที่ไม่หวังดีต่อคาซัคสถาน และพันธมิตรอย่างรัสเซีย แน่นอนว่า อเมริกาในฐานะพี่ใหญ่ของโลก ก็ออกมามีปฏิกิริยากับเรื่องราวนี้ด้วยการแสดงความไม่เห็นด้วยต่อการใช้ความรุนแรงจัดการปัญหา และเรียกร้องให้รัฐบาลคาซัคสถานเคารพสิทธิของประชาชนในการแสดงออกตามหลักสากล
เอาเป็นว่า รอให้เหตุการณ์ดำเนินไปจนได้ข้อสรุปที่ชัดเจนแล้ว เราจะนำมาขยายความเชื่อมโยงต่างๆ ทั้งการเมืองในคาซัคสถานเอง และในระดับโลกอีกครั้ง แต่สำหรับตอนนี้กลับมาที่เหตุการณ์สำคัญของโลกในปีที่ผ่านมา (2021) ในลำดับที่ 3กันต่อ หลังจากเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาได้ว่าถึงประเด็นการบุกรัฐสภาสหรัฐอเมริกาของกลุ่มผู้สนับสนุน “โดนัลด์ ทรัมป์” อดีตประธานาธิบดีแห่งสหรัฐฯ จนไปกระทบกับหลักในประชาธิปไตยที่ชาวอเมริกันชนพยายามสื่อสารมาตลอดว่า เป็นหลักที่ทำให้สหรัฐฯ เป็นดินแดนแห่งความเสรี และมีความเสมอภาคในสิทธิของการแสดงออกทางการเมืองตามหลักสากล
ส่วนอีกประเด็นคือ การเข้ายึดอำนาจของรัฐบาลพลเรือนในประเทศพม่าของกองทัพทหารนำโดยพลเอกอาวุโส “มิน อ่อง หล่าย”ซึ่งอ้างความชอบธรรมด้วยเหตุผลว่าเกิดการโกงการเลือกตั้งในครั้งที่ผ่านมาและจับตัวนักการเมืองในกลุ่มของรัฐบาลพลเรือนไปขังไว้มากมาย โดยเฉพาะ“นางออง ซาน ซู จี” และอดีตประธานาธิบดีของพม่า รวมไปถึงแกนนำการเมืองภาคประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ทำให้เกิดการต่อต้านจากประชาชนทั่วประเทศพม่า จนนำไปสู่การปะทะกันอย่างรุนแรง มีผู้เสียชีวิตมหาศาล และผู้บาดเจ็บมากมายรวมไปถึงความเสียหายทางเศรษฐกิจที่ต้องใช้คำว่า “ย่อยยับ” ท่ามกลางการไม่คบค้าสมาคมของหลายประเทศทั่วโลก เพื่อบีบให้รัฐบาลทหารพม่าต้องคืนประชาธิปไตยให้กับประชาชน และประเทศ
ประเด็นต่อมา ขอว่าด้วยเรื่องของ “ตาลิบัน” หลังจากสหรัฐอเมริกา และชาติพันธมิตร ตัดสินใจถอนทหารออกจากอัฟกานิสถานในช่วงปลายเดือนกันยายน 2021 ทำให้กลุ่มพลเมืองติดอาวุธในนามของตาลิบันเข้ายึดครองแต่ละพื้นที่ในอัฟกานิสถาน แม้ว่าทางรัฐบาลอัฟกานิสถานจะพยายามปกป้องพื้นที่เหล่านั้นอย่างเต็มความสามารถ แต่ก็ไม่อาจยับยั้งได้ทำให้ตาลิบันสามารถรุกคืบเข้าสู่เมืองหลวง คือ “กรุงคาบูล” ได้สำเร็จ โดยที่ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของอัฟกานิสถาน “อัชราฟ กานี” ได้ตัดสินใจลี้ภัยไปยังประเทศ “สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์”ก่อนหน้านี้เป็นที่เรียบร้อย
เมื่ออัฟกานิสถานตกเป็นของกลุ่มตาลิบันได้สำเร็จอีกครั้ง โฆษกของกลุ่มตาลิบันได้ออกมาแถลงว่า ตาลิบันต้องการมีสัมพันธ์อันสันติกับนานาชาติและจะเคารพสิทธิของผู้หญิงภายใต้กฎหมายอิสลาม ผู้หญิงจะได้รับอนุญาตให้ทำงาน ได้รับการศึกษา และจะมีบทบาทอย่างยิ่งในสังคม แต่ต้องอยู่ในกรอบของอิสลาม ไม่มีใครทำอันตรายคุณ ไม่มีใครไปเคาะประตูบ้านคุณ สื่อเอกชนจะทำงานต่อไปอย่างอิสรเสรีในอัฟกานิสถาน ภายใต้กรอบทางวัฒนธรรมของเรา
กระนั้น กลุ่มองค์กรภาคเอกชนรวมไปถึงสหรัฐอเมริกา และชาติพันธมิตร ก็ได้ออกมาแสดงความกังวลต่อการบริหารจัดการประเทศอัฟกานิสถาน ภายใต้การปกครองของกลุ่มตาลิบัน ว่าจะออกมาในแนวทางสุดโต่ง และนิยมการใช้ความรุนแรง เหมือนกับที่เคยดำเนินมาก่อนหน้านี้หรือไม่ ที่สำคัญคนส่วนใหญ่ในประเทศก็แสดงความต้องการที่จะเดินทางออกจากอัฟกานิสถาน เพื่อไปแสวงหาอนาคตที่ปลายทางข้างหน้า มากกว่าต้องมีชีวิตต่อไปภายใต้การปกครองของตาลิบัน ที่อาจกลายเป็นหายนะทางเศรษฐกิจ สังคม และต่อตัวเองในอนาคต จึงเห็นว่าช่วงเวลานั้น สนามบินในกรุงคาบูลจึงเต็มไปด้วยผู้คนที่ต้องการโดยสารไปยืนรออย่างหนาแน่น และบางคนถึงขนาดวิ่งไปเกาะเครื่องบินเพื่อขออาศัยเดินทางออกไปจากพื้นที่ตรงนั้น และเกิดการพลัดตกลงมาจากเครื่องบินจนทำให้เสียชีวิต ซึ่งถึงตรงนี้สถานการณ์ที่อัฟกานิสถานก็ยังคงไม่นิ่ง แต่ภาพที่ถูกสื่อสารออกมานั้น รัฐบาลตาลิบันค่อนข้างจะละเอียดอ่อนในการบังคับใช้กฎหมายต่อพลเมือง และลดทอนความสุดโต่งลงมาในระดับที่ยังไม่กลายเป็นเป้าโจมตีจากกลุ่มองค์กรภาคเอกชนระดับโลกที่กำลังจับตามองอย่างใกล้ชิด
โดยส่วนตัว เห็นว่าทั้ง 3 ประเด็นในปี 2021 ที่นำมาเสนอนั้น คือ ความเคลื่อนไหวที่สำคัญของโลก อันมีนัยตีความเชื่อมโยงครอบคลุมทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และทัศนคติในการอยู่ร่วมกันบนโลกใบนี้ ท่ามกลางความแตกต่างอย่างชัดเจน
นอกจากนั้น ในปี 2021ก็ยังมีเหตุการณ์อื่นๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย ทั้งปรากฏการณ์ “แฉ” วาระซ่อนเร้นของเฟซบุ๊ค กรณีการจัดการภาวะโลกร้อน การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่ญี่ปุ่น ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และช่วงปลายปีกับไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์ตัวใหม่ในนามของ “โอมิครอน”ซึ่งเรื่องราวของประเด็นทั้งหมดเหล่านี้ได้เคยสื่อสารถึงผ่านพื้นที่คอลัมน์เปิดโลกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นสำหรับใครที่สนใจก็สามารถตามหาอ่านได้ที่ https://www.naewna.com/columnist/1308 หรือ https://www.facebook.com/siripaintavichein ฝากติดตามกันด้วยค่ะ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี