สถานการณ์ทั่วโลกของโรคฝีดาษลิงจนถึงวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๕ จากองค์การอนามัยโลกได้รายงานว่ามีผู้ติดเชื้อไวรัสฝีดาษลิงยืนยันจำนวนอย่างน้อย ๙๒ รายใน ๑๖ ประเทศและมีรายที่สงสัยอีกอย่างน้อย ๒๘ ราย ในสหราชอาณาจักรมีผู้ติดเชื้อที่ยืนยันแล้ว ๕๗ ราย ตั้งแต่พบรายแรกในวันที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๕ ผู้ติดเชื้อทั้งหมดนี้ยังไม่พบว่ามีรายใดถึงแก่กรรม องค์การอนามัยโลกพบว่า การระบาดหลังวันที่ ๑๓ เดือนพฤษภาคมปี พ.ศ. ๒๕๖๕ เป็นต้นมา มีผู้ที่ติดเชื้อจาก ๑๖ ประเทศและเป็นผู้ที่ไม่ได้กลับมาจากการไปเที่ยวในแหล่งที่เป็นแดนระบาดของโรคฝีดาษลิง ส่วนมากพบในเพศชายและเป็นผู้ที่ไปรับการตรวจรักษาที่คลินิกที่ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับเพศ จึงเกิดสมมติฐานว่า เชื้อจะติดต่อจากการสัมผัสร่างกายของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดขณะมีเพศสัมพันธ์ในกลุ่มชายรักร่วมเพศ ย้อนกลับไปในปี พ.ศ. ๒๕๔๖ การระบาดในสหรัฐอเมริกาโดยมีผู้ติดเชื้อ ๔๗ ราย เกิดจากการสัมผัสสัตว์ที่ติดเชื้อหรือไปทำความสะอาดกรงที่เลี้ยงสัตว์ที่ติดเชื้อคือ Prairie dog หรือ “กระรอกดิน” ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีฟันแทะ กระรอกดินนี้ป่วยโดยมีอาการน้ำมูกไหล ขี้ตาแฉะ มีแผลที่ขอบตาหรือรูจมูก และมีต่อมน้ำเหลืองโต การระบาดครั้งนั้นก็ไม่มีผู้ใดถึงแก่กรรม ในปีที่แล้วและปีนี้ มีชาวอังกฤษและอเมริกาติดเชื้อไวรัสฝีดาษลิงหลังจากกลับมาจากประเทศไนจีเรียด้วย อธิบดีกรมควบคุมโรคของไทยแจ้งว่าทั่วโลกพบผู้ป่วยแล้วจากหลายประเทศ แต่จะเน้นการตรวจสอบชาวต่างชาติที่เดินทางมาจากสหราชอาณาจักร สเปน และ โปรตุเกส แต่ที่ต้องระวังมากคือ ผู้ที่เดินทางมาจากประเทศในทวีปแอฟริกากลางและแอฟริกาตะวันตก ภายในระยะเวลา ๒๑ วัน
โรคนี้ระบาดเป็นโรคประจำถิ่นในประเทศแคเมอรูน สาธารณรัฐแอฟริกากลาง คองโก กาบอง ไลบีเรีย ไนจีเรีย และเซียร์ราลีโอน ก่อนจะพบผู้ป่วยนอกเขตแอฟริกา เช่น สหรัฐอเมริกา โปรตุเกส สเปน สวีเดน สหราชอาณาจักร อิตาลี แคนาดา ออสเตรเลีย ฯลฯ ทำให้หลายประเทศในโลกต้องกลับมาเฝ้าระวังโรคฝีดาษลิงอีกครั้ง ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 ที่ยังไม่คลี่คลาย
จุดเริ่มต้นของโรคฝีดาษลิงและในคน โรคนี้เกิดจากการติดเชื้อไวรัสฝีดาษลิงซึ่งอยู่ในตระกูลเดียวกับฝีดาษในคนหรือไข้ทรพิษแต่โรคมีความรุนแรงน้อยกว่าและมีการแพร่กระจายเชื้อยากกว่า โรคนี้น่าจะระบาดอยู่ในกลุ่มสัตว์ที่ใช้ฟันแทะหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในแอฟริกามานาน แต่เราไม่รู้จักโรคนี้จนกระทั่งไปพบโรคนี้ระบาดขึ้น ๒ ครั้งในปี พ.ศ. ๒๕๐๑ ในกลุ่มลิงที่นำมาขังเลี้ยงไว้สำหรับทำวิจัยในกรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก จึงเรียกโรคนี้ว่า “โรคฝีดาษลิง”ทั้งๆ ที่เชื้อไวรัสจะอาศัยอยู่ในสัตว์ที่ใช้ฟันแทะเป็นรังโรคมากกว่าเชื้อไวรัสนี้จัดอยู่ในจีนัส orthopoxviruses ตระกูล Poxviridae เป็นไวรัสชนิด DNA สายคู่ การกลายพันธุ์จึงเกิดยากกว่าเชื้อไวรัสโควิด-๑๙ ที่เป็นเชื้อ RNA สายเดี่ยว โรคนี้กระจายจากสัตว์สู่คนได้จึงเรียกว่า zoonosis ส่วนผู้ป่วยรายแรกที่ติดเชื้อในปี พ.ศ. ๒๕๑๓เป็นเด็กชายอายุ ๙ ปี ในประเทศคองโก เมื่อมีการสำรวจเจาะลึกต่อไปในขณะนั้นก็พบว่า มีผู้ป่วยอีกหลายรายใน ไอวอรีโคสต์, ไลบีเรีย, ไนจีเรีย และเซียร์ราลีโอน ที่ป่วยจากโรคนี้
ลักษณะทางคลินิก ระยะเวลาฟักตัวของโรคโดยเฉลี่ย ๑๐-๑๒ วัน (๑ ถึง ๓๑ วันในการระบาดในสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. ๒๕๔๖)ระยะเวลาการดำเนินโรคนานระหว่าง ๒ ถึง ๔ สัปดาห์ อาการมักจะเริ่มด้วยไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัวก่อน ๑ ถึง ๕ วัน แล้วจะมีผื่นขึ้นที่ศีรษะ ใบหน้า กระจายลงสู่ลำตัวและแขนขา ผื่นจะกลายเป็นตุ่มพองใสก่อนและอีก ๒ ถึง ๓ วันต่อมา น้ำที่ใสจะขุ่นมัวหรือมีสีเหลือง อีก ๑ ถึง ๒ สัปดาห์ต่อมา จะตกสะเก็ดและค่อยๆ จางหายไปแต่บางรายกลายเป็นแผลเป็นที่ผิวหนัง รอยโรคที่ผิวหนังนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามลำดับในระยะเดียวกันหรือใกล้กันมากและพัฒนาไปตามลำดับดังกล่าวข้างต้น ตุ่มพองใสหรือขุ่นนี้มักพบที่แขน ขา ฝ่ามือและเท้ามากกว่าลำตัว ขนาดตุ่มพองใสมักจะใหญ่กว่าที่พบในโรคสุกใสและมีรอยบุ๋มตรงกลางตุ่ม มีแผลเล็กๆ ที่รอยต่อระหว่างผิวหนังและเยื่อบุผิวหนังที่บริเวณตา จมูก ปาก และอวัยวะเพศได้ บางรายมีการอักเสบของเนื้อสมองได้ ระยะเวลาการดำเนินโรคจะไม่เกิน ๒๑ ถึง ๓๐ วัน ยกเว้นผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอการระบาดในสหรัฐอเมริกาปี พ.ศ. ๒๕๔๖ พบว่า มีอัตราการเกิดอาการดังต่อไปนี้ มีผื่นหรือตุ่มพุพอง(ร้อยละ ๙๗) ไข้(ร้อยละ ๘๕) ไอ เจ็บหรือคันคอ คัดจมูก(ร้อยละ ๗๗) ต่อมน้ำเหลืองโตใต้คางหรือบริเวณคอ(ร้อยละ ๖๙) เนื่องจากผื่นหรือตุ่มน้ำพุพองนี้อาจจะมีลักษณะและการกระจายคล้ายกับโรคสุกใสได้ หากคลำพบต่อมน้ำเหลืองที่ใต้คางใต้ขากรรไกร ที่คอ หรือที่ขาหนีบโต จะบ่งชี้มาทางโรคฝีดาษลิงเด็กเล็กและหญิงตั้งครรภ์มีโอกาสจะป่วยรุนแรงกว่าในผู้ใหญ่ โรคนี้พบได้เท่าๆ กันในเพศชายและหญิงยกเว้นการระบาดในเดือนพฤษภาคมปีนี้ที่พบในเพศชายมาก โรคฝีดาษลิงอาจจะก่อโรครุนแรงในบางรายมีการรายงานผู้ป่วยที่ถึงแก่กรรมร้อยละ ๑ ถึง ๑๐ ในแอฟริกาตะวันตกผู้ป่วยที่ตายมักจะเป็นผู้สูงวัย มีโรคประจำตัว อ่อนแอหรือติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน ผู้ที่เคยปลูกฝีดาษมาแล้ว ก็ติดเชื้อและป่วยได้แต่ไม่รุนแรงและไม่ถึงแก่กรรม
โดยสรุป ผู้ที่ต้องระวังตัวเป็นพิเศษได้แก่ เด็ก หญิงตั้งครรภ์ และผู้ป่วยที่กำลังได้รับยาเคมีบำบัดหรือกินยากดภูมิคุ้มกัน จะมีโอกาสติดเชื้อและป่วยรุนแรงได้
วิธีการติดต่อของโรค เกิดจากการสัมผัสหนูหรือสัตว์ที่ใช้ฟันแทะหรือสิ่งคัดหลั่งที่มีเชื้อปนเปื้อนในน้ำในตุ่มพองใสหรือขุ่นหรือรอยแผลขนาดเล็กที่ผิวหนังติดกับเยื่อบุผิวหนัง แล้วเชื้อเข้าทางผิวหนังของผู้ป่วยที่มีบาดแผล เยื่อบุนัยน์ตาหรือเยื่อบุจมูก หรือทางเดินหายใจจากการสูดดมได้ การติดต่อจากคนสู่คนยังพบน้อยมากเพราะต้องอยู่ใกล้ชิดกันนานหลายชั่วโมง การระบาดในแอฟริกากลางและตะวันตกเกิดจากการสัมผัสสัตว์ที่ติดเชื้อ เช่น หนู กระต่าย กระรอก ลิง เม่นและเนื้อทราย หรือจากการฆ่าหั่นเนื้อสัตว์ที่ป่วยหรือกินเนื้อสดหรือดิบที่ปรุงยังไม่สุก มีรายงานของการติดต่อจากคนสู่คนภายในสมาชิกในบ้านเดียวกันในประเทศคองโกในการระบาดปี พ.ศ. ๒๕๓๙ ถึง ๒๕๔๐ พบว่ากลุ่มชนกลุ่มนี้อยู่ร่วมกันอย่างแออัด สุขอนามัยไม่ดี และไม่ได้ปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษแล้ว อัตราการติดเชื้ออยู่ที่ ๒๒ รายต่อ ๑,๐๐๐ ประชากรในการระบาดครั้งนี้ในประเทศนี้ อย่างไรก็ตาม การติดต่อโดยทั่วไปในอดีตพบว่าไม่ได้เกิดขึ้นง่ายดาย ไม่ติดต่อง่ายเหมือนไข้หวัดใหญ่หรือโรคโควิด-๑๙ และผู้ติดเชื้อส่วนมากมีอาการไม่รุนแรง สามารถควบคุมการระบาดได้ง่าย
เนื่องจากการระบาดในเดือนพฤษภาคมปีนี้พบมากขึ้นในกลุ่มชายรักร่วมเพศ จึงมีการศึกษาว่า โรคนี้สามารถติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์ได้หรือไม่ด้วยวิธีที่เชื้ออาจจะออกมาจากแผลขนาดเล็กที่เยื่อบุหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศของผู้ป่วยและส่งเชื้อเข้าทางแผลหรือเยื่อบุผิวหนังของผู้รับเชื้อ หรือเกิดจากการสัมผัสร่างกายโดยทั่วไปของผู้ป่วยและผู้ติดเชื้อรายใหม่รับเชื้อเข้าทางผิวหนังที่มีบาดแผลขนาดเล็กโดยไม่รู้ตัว
ยาต้านไวรัสและวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษลิง ขณะนี้ มียากินที่ต้านไวรัสชื่อ Tecovirimat SIGA บรรจุในแคปซูลเป็นยาที่ต้านไวรัสทั้งเชื้อที่ก่อโรคฝีดาษคน ฝีดาษลิง ฝีดาษวัว ขึ้นทะเบียนแล้วในยุโรปและที่อื่นๆ ใช้ได้ในเด็กและผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักตัวเกิน ๑๒ กิโลกรัมการรักษาที่ได้ผลดีคือการให้ยาโดยเร็วที่สุดหรือภายใน ๕ วันหลังทราบหรือสงสัยว่าติดเชื้อไวรัสฝีดาษลิง ระยะเวลาที่กินยาคือนาน ๑๔ วัน ยาขนานนี้ออกฤทธิ์ต้านโปรตีน VP37 ที่ผิวไวรัส ทำให้การแบ่งตัวออกมาเป็นลูกหลานทำได้ช้าลงมาก อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการจำหน่ายยาขนานนี้อย่างแพร่หลาย
ส่วนผู้ที่มีอายุเกิน ๕๐ ปีและเคยปลูกฝีป้องกันโรคฝีดาษหรือไข้ทรพิษ จะพบว่า มีภูมิคุ้มกันในการป้องกันโรคฝีดาษลิง เหลืออยู่ด้วย เชื้อไวรัสกลุ่มนี้ไม่กลายพันธุ์ง่าย ๆ ดังนั้น การใช้วัคซีนเดิมก็ยังได้ผลดีอยู่ นอกจากนี้ ในเดือนตุลาคม ปี พ.ศ. ๒๕๖๒ องค์การอาหารและยาในสหรัฐได้อนุมัติให้ใช้วัคซีน (Jynneos™) ซึ่งประกอบด้วยเชื้อไวรัสที่มีชีวิตที่อ่อนฤทธิ์และไม่แบ่งตัวหลังการฉีดวัคซีนเข้าร่างกาย เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันต่อไข้ทรพิษและฝีดาษลิงได้ด้วยในผู้รับวัคซีนชนิดนี้
การป้องกันตนเองจากการติดเชื้อไวรัสฝีดาษลิง สำหรับผู้ที่ประเมินตนเองว่า ติดเชื้อหรือเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อไวรัสฝีดาษลิง เช่น สัมผัสอย่างใกล้ชิดกับผู้ป่วยหรืออยู่ในบ้านเดียวกันหรือสัมผัสสัตว์ที่ติดเชื้อ ควรกักตัวนาน ๒๑ วัน เพื่อให้แน่ใจว่า ไม่เกิดอาการของโรคนี้ ผู้ป่วยที่มีไข้และผื่นขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ หลังกลับมาจากต่างประเทศภายใน ๒๑ วัน ควรกักตัวเองไว้ก่อนนานอย่างน้อย ๒๑ วันหรือจนกว่าผื่นหรือตุ่มพองใสจะตกสะเก็ดและหายไปหมด
สำหรับประชาชนคนไทยทั่วไป ใช้วิธีการป้องกันโรคโควิด-๑๙ เช่น การสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ การล้างมือบ่อยๆ การเว้นระยะห่าง สามารถป้องกันการติดเชื้อโควิด-๑๙ ได้ดีพอๆ กับการป้องกันการติดเชื้อไวรัสฝีดาษลิง และเน้นเสริมด้วยวิธีการป้องกันโรคแบบ ไม่สัมผัส กอดรัด จูบสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะสัตว์เลี้ยงประเภทหนูหรือกระรอกดินที่นำเข้าจากต่างประเทศ ไม่สัมผัสผู้ป่วยที่มีผื่นหรือตุ่มพองใสที่ผิวหนัง และงดการมีเพศสัมพันธ์กับชาวต่างชาติไว้ก่อน คนไทยในขณะนี้ยังไม่ต้องกังวลเรื่องการระบาดและไม่ต้องไปฉีดวัคซีนหรือใช้ยาต้านไวรัสขนานใด ผู้ที่มีอายุเกิน ๕๐ ปี และเคยปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษ จะยังมีภูมิคุ้มกันที่จะลดการเจ็บป่วยรุนแรงจากโรคฝีดาษลิงได้
แผลเป็นจากการฉีดวัคซีน บีซีจี และการปลูกฝีดาษ อาจจะดูคล้ายกัน ถ้าเป็นการฉีดหรือปลูกฝีที่ต้นแขนตามปกติ(ไม่ได้หลบไปฉีดที่ตะโพกหรือต้นขาในผู้หญิง)
แผลเป็นจากการฉีดวัคซีน บีซีจี จะอยู่ที่ไหล่ซ้าย(สีแดง หนึ่งเส้น) ดังในรูป
ส่วนแผลเป็นจากการปลูกฝีดาษจะอยู่ต่ำกว่า(สีน้ำเงิน สองเส้น) ดังในรูป
สำหรับแพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยหรือชาวต่างชาติที่เพิ่งเดินทางเข้ามาในประเทศไม่เกิน ๒๑ วัน ลักษณะทางคลินิกที่น่าสงสัยว่าติดเชื้อไวรัสฝีดาษลิงมีดังนี้
l ผู้ป่วยที่มีผื่นขึ้นตามใบหน้า แขน ขา โดยไม่ทราบสาเหตุ
l ชาวต่างประเทศที่เพิ่งเข้ามาในประเทศไทยไม่เกิน ๒๑ วัน (เป็นเพศชายหรือกลุ่มชายรักร่วมเพศ) และ
-เดินทางมาจากประเทศที่มีการระบาดของโรคฝีดาษลิงที่ไม่ได้มาเป็นพื้นที่ระบาดของโรค (เช่น ประเทศอังกฤษ สเปนโปรตุเกส) หรือมาจากดินแดนที่มีโรคระบาด เช่น ประเทศคองโก ไนจีเรีย แคเมอรูน แอฟริกาตอนกลางหรือตะวันตก
-หรือเลี้ยงและสัมผัสสัตว์ประเภทใช้ฟันแทะในบ้าน เช่น หนู กระรอกดิน ที่เพิ่งนำเข้ามาจากต่างประเทศไม่เกิน ๒๑ วัน
-หรือหากได้ประวัติมีเพศสัมพันธ์กับชายรักร่วมเพศหลายคนภายในเวลา ๒๑ วัน
-หรือสัมผัสผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงมาก่อนภายใน ๒๑ วัน
l และมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งหรือร่วมกันดังนี้ โดยที่ตรวจไม่พบโรคอื่นๆ ที่อธิบายอาการได้
1.ไข้เฉียบพลัน วัดไข้ได้เกิน ๓๘.๕ องศาเซลเซียส
2.ปวดศีรษะ
3.คลำพบต่อมน้ำเหลืองโตชัดเจน ที่ใต้คาง ใต้ขากรรไกรที่คอ เป็นต้น
4.ปวดเมื่อยมากตามลำตัว
5.อ่อนเพลียมาก
โดยสรุป โรคฝีดาษลิงยังมีการระบาดในกลุ่มคนชาวต่างประเทศนอกประเทศไทย จำนวนผู้ติดเชื้อในต่างประเทศยังจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นในระยะเวลาอันใกล้แต่น่าจะควบคุมโรคได้ในเวลาต่อมาอีกไม่นาน กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้มีการเตรียมการรับมือไว้แล้วโดยเฉพาะด้านการรับผู้ป่วยและการสอบสวนโรคดังที่เคยทำได้อย่างดีมากในโรคโควิด-๑๙ มาแล้ว ประชาชนคนไทยรับทราบข้อมูลการระบาด แหล่งที่อาจจะแพร่เชื้อให้ตนเอง และทราบวิธีป้องกันตนเอง แม้ประเทศไทยจะเปิดประเทศต้อนรับคนต่างชาติ คนไทยก็ยังไม่น่าวิตกกังวลในเรื่องนี้ ความรู้ ความร่วมมือและความไม่ประมาทของคนไทยจะทำให้โรคฝีดาษลิงไม่ระบาดในประเทศไทย และเชื่อว่าหากมีรายป่วยเข้ามาในประเทศไทย เราจะควบคุมโรคฝีดาษลิงนี้ได้โดยเร็วที่สุด
ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์อมร ลีลารัศมี
กรรมการแพทยสภา และ รองอธิการบดี ม.สยาม
๒๓ พฤษภาคม ๒๕๖๕
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี