อุบัติเหตุบนถนนเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของชาวโลกถึงปีละ 1.35 ล้านคน สหประชาชาติจึงอยากลดอัตราการเสียชีวิตลงให้เหลือครึ่งหนึ่งภายใน 2020 (2563) แต่ปรากฏว่าทำไม่ได้ จึงขยายเวลาออกไปเป็น 2030 (2573)
ประเทศไทยเองเคยมีอัตราการเสียชีวิตเป็นอันดับ 2 ของโลกหรือประมาณ 24,000 คนต่อปี (จาก WHO) วุฒิสภา (และหน่วยงานอื่นๆ ของประเทศไทย) มองเห็นความสำคัญของเรื่องนี้ จึงได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการบูรณาการกู้ชีพฉุกเฉินและความปลอดภัยทางถนนวุฒิสภา นำโดยท่าน สว.สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย เมื่อ 6 ปีที่แล้ว โดยมีท่าน สว.อื่นๆ และผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานต่างๆ จากภายนอกเข้ามาร่วมเป็นกรรมการ อนุกรรมการด้วย อาทิ ท่าน สว.พิศาล มาณวพัฒน์ ท่าน สว.นพ.อำพล จินดาวัฒนะ
ภายใต้การนำและบารมีส่วนตัวของท่านประธานสุรชัย การทำงานของคณะกรรมการและอนุกรรมการ ด้วยความร่วมมือของทุกหน่วยงานทางด้านนี้ของประเทศ เช่น สนง.ตำรวจแห่งชาติ กรมขนส่งทางบกกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย บริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ สสส. บริษัทห้างร้านต่างๆ ได้ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งจนในปี 2564 มีผู้เสียชีวิต 16,957 ราย แต่ก็ยังสูงอยู่ คณะกรรมการได้ขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วน รณรงค์ประชาสัมพันธ์ กระตุ้นให้ประชาชนทุกคนสนใจ มีวินัย เรื่องการขับขี่บนถนน ความมีน้ำใจโอบอ้อมอารีต่อผู้ร่วมใช้ถนน รณรงค์เกี่ยวกับการขับรถเร็ว ดื่มแอลกอฮอล์แล้วขับรถ การรัดเข็มขัดนิรภัย การสวมหมวกกันน็อก ฯลฯ
ตั้งแต่คุณหมอกระต่ายเสียชีวิตจากการถูกมอเตอร์ไซค์ชนขณะเดินข้ามทางเดินม้าลาย ทางคณะกรรมการได้รณรงค์เรื่องการหยุดรถให้คนเดินข้ามทางม้าลายทุกวันที่ 21 ของเดือน มา 5 ครั้งแล้วโดยย้ายไปรณรงค์ในสถานที่ต่างๆ โดยในวันที่ 21 มิถุนายน ได้ไปรณรงค์ที่ทางข้ามม้าลายใกล้ๆ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เสาชิงช้า โดยมีท่านผู้ว่าราชการ กทม. ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ มาร่วมรณรงค์ด้วย ทั้งนี้ ท่านประธานสุรชัย และคณะกรรมการได้ถือโอกาสนี้เสนอข้อเสนอเชิงนโยบายต่อผู้ว่าฯ กทม. ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อีกด้วย โดยมีใจความว่า
ถึงแม้การสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนจะค่อยๆ ลดลงในช่วง3 ปี แต่ยังมีผู้เสียชีวิตถึง 16,657 ราย ในปี 2564 หรือ 25.8/แสนประชากร หรือ 47 ราย/วัน ใน กทม. มีผู้เสียชีวิตทางถนนเฉลี่ยสูงถึงปีละ 800-900 ราย ทั้งนี้ กทม.มีนโยบายเป็นเมืองน่าอยู่ ปลอดภัย รวมทั้งรัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายลดการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนลงครึ่งหนึ่ง คือ ให้เหลือ 12 คน/แสนประชากรในปี 2570 หรืออีก 5 ปีข้างหน้า(หรือให้มีการเสียชีวิตไม่เกิน 20 คน/วัน) โดยใช้แนวคิดเน้นการจัดการเชิงระบบแห่งความปลอดภัย (safe system approach) ที่มองว่าคนมีข้อจำกัดและผิดพลาดได้เสมอ ฉะนั้นจึงต้องใช้ระบบปลอดภัยช่วยป้องกัน และลดความสูญเสีย
คณะกรรมการจึงมีข้อพิจารณาเสนอแนะ 3 ด้าน คือ 1) ด้านการบริหารจัดการโครงสร้าง กฎหมาย งบประมาณและ KPI กำกับติดตาม 1.1) สนับสนุนและยกระดับการทำงานของสำนักการจราจรและขนส่ง กทม. ให้มีการเสริมสร้างมาตรการความปลอดภัยของการใช้ถนนให้มีขอบเขตกว้างขวางครอบคลุมทุกมิติ 1.2) กำหนดตัวชี้วัดเรื่อง “ความปลอดภัยทางถนน” ในทุกเขต เช่น พฤติกรรมเสี่ยง อัตราการเสียชีวิตลดลง การจัดการจุดเสี่ยง1.3) เพิ่มงบประมาณ ธนาคารโลกพบว่าถ้าประเทศไทยสามารถลดการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนลง หนึ่ง จะมี GDP เพิ่มขึ้น 22.1%1.4) ระบบข้อมูลต้องมีการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น
2) ด้านมาตรการด้านถนนและ “ทางม้าลายมาตรฐาน-ปลอดภัย” 2.1) ถนนต้องมีมาตรฐานสากล แบ่งช่องทางเดินรถให้ชัดเจน สำหรับรถชนิดต่างๆ 2.2) กำหนดทางม้าลายให้มีมาตรฐาน เช่น ป้ายเตือน ไฟมาตรการชะลอความเร็ว 2.3) ระบบประเมินจุดเสี่ยงที่จำเป็นต้องมี หรือปรับปรุงทางข้าม เช่น sky walk ทางเดินเท้า จักรยาน 2.4) กำหนด speed zone (จำกัดความเร็ว 30-40 กม./ชม.) โดยเฉพาะในจุดที่มีทางข้ามและเขตชุมชน โรงเรียน โรงพยาบาล ตลาดสด ฯลฯ
3) ด้านการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยและความรับผิดชอบร่วมกัน 3.1) ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมการขนส่งทางบก วางแนวทางกำกับให้ผู้บริหารต่างๆ สร้างวัฒนธรรมองค์กรด้านความปลอดภัย เช่น ขสมก. รถร่วมบริการ วินรถจักรยานยนต์ ฯลฯ 3.2) นำเทคโนโลยีเสริมการบังคับใช้ผู้ฝ่าฝืน ไม่ชะลอหรือหยุดให้คนข้าม รวมทั้งกรณีที่เกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนคนข้าม โดยมีการกำกับและติดตาม รายงานผลการบังคับใช้ให้สาธารณะได้รับรู้โดยเร็ว 3.3) สร้างการเรียนรู้ด้านการป้องกันอุบัติเหตุทางถนนเข้าในหลักสูตรโรงเรียนทุกระดับชั้น 3.4) ประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องมีการนำ key message เพื่อกระตุ้นให้ทุกคนตระหนักและร่วมมือเช่น “หยุดสูญเสีย หยุดรถให้คนข้ามทางม้าลาย ความดีที่คุณทำได้”ข้อเสนอทั้งหมดนี้ เพื่อสู่เป้าหมายให้ กทม. ภายใต้การนำของท่านผู้ว่าราชการ กทม. ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เป็น “Smart City : เมืองปลอดภัย คนปลอดภัย”
การป้องกันและการลดอุบัติเหตุทางถนนเพื่อลดความสูญเสียของชีวิต การบาดเจ็บและทรัพย์สินนั้น จะประสบความสำเร็จได้จะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาชนทุกๆ คน ทุกๆ หน่วยงาน ต้องรู้จักหน้าที่ของตนเองเป็นอย่างดี ต้องมีวินัย มารยาทในการใช้ถนน ทั้งผู้เดินและผู้ขับขี่ยานพาหนะต่างๆ ต้องไม่ขับรถเร็วกว่ากฎหมายกำหนด บางครั้งบางช่วงของถนนอาจต้องขับช้ากว่าที่กฎหมายกำหนดด้วยซ้ำ ดื่มแอลกอฮอล์ไม่ขับ ง่วงไม่ขับ ต้องสวมหมวกกันน็อก รัดเข็มขัดนิรภัย รวมทั้งสำหรับเด็กด้วย ตลอดเวลาที่ขับขี่ยานพาหนะ ฯลฯ
เราต้องร่วมมือกันครับ ไม่ว่าท่านประธานกรรมการสุรชัยท่านผู้ว่าฯ ดร.ชัชชาติ จะเก่ง ขยันแค่ไหน แต่ถ้าพวกเราไม่ให้ความร่วมมือ เราก็จะเดินไปไม่ถึงเป้าครับ
ขอขอบคุณทุกๆ ท่านในความร่วมมือครับ
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี