ประเทศไทยเราถือว่าโชคดี ที่มีภัยธรรมชาติเพียงไม่กี่อย่าง คือ น้ำท่วม กับน้ำแล้ง เท่านั้น ประเทศอื่นๆ เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น ฯลฯ ต่างก็มีภัยธรรมชาติมากมาย ตั้งแต่แผ่นดินไหว พายุ สึนามิ ภูเขาไฟระเบิด ฯลฯ
แต่ทั้งที่เรามีภัยธรรมชาติหลักๆ เพียงน้ำท่วม น้ำแล้ง เท่านั้น แต่เราก็ยังแก้ปัญหากันไม่ค่อยได้ ยังมีปัญหาทั้งน้ำท่วม น้ำแล้งทุกๆ ปี จนเป็นที่น่ารำคาญ นำความเสียหายมาสู่ประชาชน ประเทศทุกๆ ปี ถ้าสะสมความเสียหายทุกๆ ปีแล้วจะเป็นเงินจำนวนมากมาย เราน่าจะรู้จักและควรที่จะทราบว่าการป้องกันนั้นดีกว่า ถูกกว่า การแก้ปัญหาเมื่อปัญหาเกิดขึ้นแล้ว อย่างเช่น โรคภัยไข้เจ็บ ทุกๆ คนต่างก็รู้ดีว่าการป้องกัน การสร้างเสริมสุขภาพนั้นได้ผล มีประโยชน์ ถูกกว่า ดีกว่า เป็นโรคแล้วค่อยรักษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ สมอง ฯลฯ แต่ทำไมเราจึงไม่วางแผนสำหรับระยะยาว และหรือรีบดำเนินการไปสู่เป้าหมายของแผนภายในระยะเวลาที่สั้นที่สุด ในปี พ.ศ.2554 ที่มีน้ำท่วมมากทั่วประเทศนั้นได้นำความสูญเสียอย่างมโหฬารมาสู่ประเทศ มีความเสียหายถึง 1.42 ล้านล้านบาท ไปแบบเปล่าประโยชน์ โดยจำนวนเงินที่สูญเสียไปไม่ได้เอาไปใช้สำหรับการป้องกันในระยะยาวเลย แต่เป็นการใช้งบประมาณสำหรับปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น ถ้าเรานำยอดเงินนี้ 1.42 ล้านล้านบาทมาใช้เพื่อป้องกันน้ำท่วม น้ำแล้ง เราจะได้ประโยชน์อย่างมากและถาวร และจะไม่มีปัญหาเท่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ หรือถ้ามีก็น้อยมากเวลาผ่านไปแล้ว 11 ปี เราน่าที่จะแก้ไขปัญหาได้มากพอสมควร
ผมเองมีปรัชญาอยู่ว่า เราต้องเรียนจากบทเรียนในอดีต เราต้องไม่ทำผิดซ้ำซาก เราต้องรู้จักการป้องกัน ลดความรุนแรง เตรียมพร้อมตลอดเวลา จะอ้างว่าฝนตกเร็วกว่าที่เราคาด เร็วกว่าที่ตกตามฤดูกาลไม่ได้ เช่น ฝนตามปกติอาจตกหนักช่วงตุลาคม แต่พอมาตกหนักเดือนกรกฎาคม จะบอกว่าฝนมาเร็วกว่าปกติไม่ได้ เราต้องเตรียมพร้อม ไม่มีใครห้ามธรรมชาติได้ ยกเว้นอีกหน่อยถ้ามีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์มากๆ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง จะมาอ้างว่าประเทศไทย โดยเฉพาะกรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ลุ่ม ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลก็ไม่ควรอ้าง เพราะเรารู้ว่ามันเป็นแบบนี้มานานแล้ว 40% ของพื้นที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ก็อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ทำไมเขาถึงมีปัญหาน้อยกว่าเรา ทำไมเราไม่วางแผน แบบ once and for all ทีเดียว (แก้ปัญหาคราวเดียวให้จบไปเลย) กล่าวคือต้องวางแผนระยะสั้น กลาง ยาว โดยมีหลักการง่ายๆ ว่า ปีหน้าน้ำต้องท่วมน้อยกว่าปีนี้ และอีก 2 ปีต้องท่วมและแล้งน้อยกว่าปีหน้า ฯลฯ เราต้องมีเป้าหมายให้ชัดเจนว่าน้ำท่วม น้ำแล้ง จะหมดไปจากประเทศไทย หรือให้เหลือน้อยที่สุดเพื่อให้เราสามารถจัดการได้ โดยไม่เป็นภาระมากเท่าในปัจจุบันนี้ ในระยะเวลากี่ปีจากนี้
การป้องกันน้ำท่วม น้ำแล้ง ในหลักการของมุมมองของคนที่ไม่มีความรู้ ความชำนาญทางด้านนี้อย่างผม นอกเหนือจากการลดปัญหาของclimate change (สภาวะโลกร้อน) ก็คือ เมื่อฝนตก ต้องเก็บน้ำไว้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่าให้เสียน้ำไปโดยเปล่าประโยชน์ แต่ถ้าเก็บไม่ได้ต้องมีทางเดินให้น้ำไหลลงสู่ทะเลให้มากที่สุดและเร็วที่สุด ก็แค่นี้เอง
นี่คือหลักการ ส่วนรายละเอียดผู้เชี่ยวชาญในแขนงต่างๆ ต้องมาร่วมมือกันคิด วางแผน โดยมีผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง ต้องดูข้อดี ข้อเสียของการวางแผนในทุกขั้นตอน ต้องมองส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ไม่มีผลประโยชน์ซับซ้อน ไม่มีเรื่องการคอร์รัปชั่น ฯลฯ ทุกกระทรวงกรม ฯลฯ ต้องมาร่วมมือกันคิด ทำ ทำอย่างมีประสิทธิภาพ และรวดเร็วให้เสร็จภายในสิบปี ไปกู้เงินมา เพื่อเรื่องนี้โดยเฉพาะก็ได้
สำหรับผม การเก็บน้ำให้ได้มากที่สุดก็คือ การสร้าง “แก้มลิง” ไว้ให้มากที่สุด ทั่วประเทศ ตั้งแต่เหนือสุดของประเทศไทย จนถึงใต้สุดต้องมีที่เก็บน้ำ เขื่อน อ่างเก็บน้ำ ทะเลสาบ ฝายเก็บน้ำ บึง คู ฯลฯ ให้มากที่สุด ผมยังมองว่าเขื่อนยังต้องมีใช้อยู่ แต่ต้องดูเหตุผลในการสร้างเขื่อนข้อดีข้อเสีย เขื่อนเป็นที่เก็บน้ำ สร้างไฟฟ้าแบบพลังงานสะอาด ที่มีราคาถูกเป็นสถานที่ท่องเที่ยว เลี้ยงเพาะพันธ์ุสัตว์น้ำต่างๆ รวมทั้งปลาบึก ฯลฯแต่อย่าลืมดูข้อเสียด้วย ถ้าทุกๆ คนมองผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง จะไม่มีปัญหาในการตัดสินว่าจะสร้างเขื่อนหรือไม่
เราต้องเก็บน้ำไว้ให้มากที่สุด แต่เมื่อไม่มีที่เก็บน้ำแล้ว เราต้องมีระบบที่สามารถนำน้ำลงสู่ทะเลได้อย่างรวดเร็ว และมากที่สุด แม่น้ำ คลองที่มีอยู่ ต้องอยู่ในสภาพที่ลำเลียงน้ำออกได้ ไม่ตื้นเขิน ต้องขุด ลอก ตลอดเวลา อาจจะต้องสร้างแม่น้ำสายใหม่ หรือท่อส่งน้ำที่นำน้ำสู่ทะเลอย่างรวดเร็ว
และถ้าเป็นไปได้ทางวิศวกรรม ควรมีท่อลำเลียงน้ำระหว่างเขื่อนทุกเขื่อนในประเทศไทย ถ้าเขื่อนทางใต้ของประเทศมีน้ำเต็มเขื่อนแล้ว แต่เขื่อนทางเหนือ ยังสามารถเก็บน้ำได้อีก เราจะได้สูบน้ำโดยใช้ไฟฟ้า ซึ่งเขื่อนผลิตได้เองอยู่แล้ว จากใต้ไปสู่เหนือ เพราะบางครั้งฝนตกใต้เขื่อนทางภาคเหนือ
ในระยะสั้นช่วงหน้าฝน (ความจริงทุกๆ หน้า) เราต้องไม่ทิ้งขยะในที่ๆไม่ควรทิ้ง ที่อาจจะทำให้ไปอุดตันท่อระบายน้ำทำให้น้ำไหลไปสู่คลอง แม่น้ำ ทะเล ไม่ได้ หรือไม่สะดวกทุกๆ คน ทุกๆ บ้านต้องช่วยกัน ทุกๆ บ้าน ถ้ามีที่ ควรปลูกต้นไม้ไว้จะช่วยซับน้ำไว้ ฯลฯ และควรใช้น้ำอย่างประหยัด ในอนาคตอาจจะมีการรบกันเพื่อแย่งชิงน้ำ!?
ในระยะยาวทุกๆ คนต้องช่วยกันลดสภาวะโลกร้อน ด้วยการปลูกต้นไม้ ไม่ตัดต้นไม้ ไม่เผาขยะ รวมทั้งไร่อ้อยที่ตัดไปแล้ว และยังมีสิ่งอีกมากมายที่ทุกๆ คนจะช่วยลดสภาวะโลกร้อนได้
เราต้องช่วยกันทุกคน แต่รัฐบาลต้องเป็นหัวหอก ระดมความคิดจากผู้เชี่ยวชาญ หาเงินมาจัดการเรื่องน้ำท่วม น้ำแล้งให้หมดไปภายใน 5-10 ปี ต้องมีแผนงานอย่างชัดเจนว่าจะแก้ได้ภายในระยะเวลาเท่าไหร่ ยิ่งแก้เร็วได้ยิ่งดี ถ้าเราแก้ปัญหาเรื่องน้ำท่วมได้ เราก็จะสามารถแก้ปัญหาน้ำแล้งได้ไปในตัว
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี