ผมขออนุญาตนำประสบการณ์ในชีวิตจริงของผมมาเป็นอุทาหรณ์สำหรับน้องๆ ที่กำลังจะเริ่มต้นชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียนหรือการทำงาน หรือการดำเนินชีวิตนะครับ จะได้มีกำลังใจในการเดินทางไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ จะได้ไม่นึกว่าตัวเองไม่เก่ง ไม่ดีพอที่จะเรียนแพทย์หรือสาขาวิชาอะไรก็แล้วแต่ เพียงแต่ว่าเราต้องมีgrowth mindset หรือทัศนคติที่ว่า ความรู้ของพวกเราทุกคนพัฒนาได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ขอเพียงแต่ว่าเราต้องรักในสิ่งที่ทำ และกัดไม่ปล่อย(ภาษาผม) หรือไม่ยอมแพ้นั่นเอง ทำอะไรต้องทำ 100%ภาษาอังกฤษเรียกว่าต้องมี passion and perseverance ในสิ่งที่จะทำ หรือจะเรียกคำเดียวก็ได้ คือ grit (courage (กล้า) and strength of mind (ใจคอมั่นคง หนักแน่น))
ผมถูกส่งไปนอกตั้งแต่อายุ 11 ขวบ พอกลับมาบ้านครั้งแรกตอนอายุประมาณ 15 ปี คุณพ่อซึ่งเป็นตำรวจ (พล.ต.อ.พิชัยกุลละวณิชย์) ขอให้เรียนแพทย์?! เพราะท่านทราบดีว่าข้าราชการ โดยเฉพาะตำรวจ มีเรื่องการเมืองเข้ามาแทรก ท่านเองก็เคยโดน พอท่านพูดผมตกใจแทบตาย เพราะตอนนั้นเรียนไม่เก่ง ไม่คิดว่าตัวเองเรียนเก่ง หรือจะเรียนแพทย์ได้ ทั้งกลัวผี เข็ม เลือด โรงพยาบาล ไปทีไรเหม็นทุกที กลัวคุณพยาบาล กลัวคุณหมอ แต่ด้วยความที่ผมเคารพรัก บูชา เทิดทูนคุณพ่อมาก อยากตอบแทนพระคุณท่าน ที่ท่านกรุณาให้การศึกษาที่ดีที่สุด ที่ทุกๆ คนคิดในขณะนั้น คือ ส่งไปเรียนที่อังกฤษ และชีวิตผม นอกจากอาจได้เงินไปโรงเรียนสำหรับค่าอาหารน้อยมาก คือ 1 บาทในช่วงที่อยู่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน (ก๋วยเตี๋ยวชามละ 50-100 สตางค์ ไม่มีเงินเหลือสำหรับทานขนมหรือน้ำหวาน) ผมได้รับความสุขสบายมาตลอด ไม่ต้องทำงานบ้าน ไม่ต้องช่วยคุณพ่อคุณแม่ทำอะไร มีหน้าที่อย่างเดียวคือ ตั้งใจเรียนผิดกับคุณพ่อที่เป็นลูกชาวนา คุณปู่คุณย่าฝากมาอยู่กับญาติเพื่อเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ ต้องช่วยทำงานบ้านเช้า เย็น ก่อนทานอาหาร ก่อนเดินไปโรงเรียน แต่ก็ขยัน สู้ กัดไม่ปล่อย จนจบโรงเรียนนักเรียนนายร้อยตำรวจ และถึงเป็นนายตำรวจแล้ว ยังไปเรียนต่อที่ธรรมศาสตร์จนจบปริญญาตรีอีกใบหนึ่ง และช่วงที่ตามคุณพ่อไปที่ทำงาน เห็นท่านทำงาน เห็นท่านสั่งงานตำรวจ วิธีการทำงานของท่าน รู้สึกทึ่งในความสามารถของท่าน คุณพ่อจึงเป็น idol mentor คนแรกของผม จนถึงปัจจุบันนี้ ผมยังมีความเห็นว่าผมไม่มีความสามารถอะไรที่จะสู้หรือเปรียบเทียบกับท่านได้เลย ผมเป็นเพียง 1 ใน 100 ของท่าน
ด้วยเหตุนี้เองผมจึงตกลงยอมรับกับคุณพ่อว่าผมจะเรียนแพทย์ตามที่ท่านต้องการ ทั้งๆ ที่ผมเกิดมาอยู่ในท่ามกลางตำรวจมีอาเป็นตำรวจ น้าเขย พี่ชายคนโตต่อมาเป็นตำรวจ (พล.ต.ท.พิบูลย์ กุลละวณิชย์ ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล คนแรก) พี่เขยก็ตำรวจ(พล.ต.อ.เสน่ห์ สิทธิพันธ์ุ อดีตรองอธิบดี คุณพ่อของท่านผู้ว่าฯ กทม. คนปัจจุบัน ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธ์ุ แฝดผู้น้องของ รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธ์ุ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยคนปัจจุบัน)
แต่ผมเป็นเด็กที่ดีอยู่อย่างหนึ่ง (หวังว่าไม่ใช่อย่างเดียว) คือ เมื่อรับปากแล้วจะทำ ไม่เบี้ยว พอกลับไปอังกฤษก็ไปหาข้อมูลเองว่าจะเรียนแพทย์ต้องทำอะไรบ้าง ต้องเรียนวิชาอะไร กี่วิชา ต้องได้คะแนนเท่าไหร่ ฯลฯ สมัยโน้นผมไม่มีใครเป็นที่ปรึกษา เป็น mentor เหมือนที่ผมเป็นให้นิสิตแพทย์ แพทย์และหลายๆ คนที่ไม่ใช่แพทย์ เป็นร้อยเป็นพันคนแล้วมั้ง ผมจึงทราบว่าสมัยโน้น ค.ศ.1958-1959 อะไรประมาณนั้น ถ้าจะเรียนแพทย์จะต้องสอบ 3 วิชานี้ให้ได้ คือ physics (ปัจจุบันนี้ไม่ต้องเรียน physics เพื่อเข้าแพทย์แล้ว-ช้าไปแล้วต๋อย) chemistry และ biology หรือ zoology ถ้าได้ 3 วิชานี้และคะแนนดี จะได้เข้าเรียนแพทย์ปีที่ 2 เลย สมัยโน้นแพทย์เรียน 6 ปี ที่อังกฤษ ปัจจุบันนี้ตัดปีหนึ่งออกไปแล้วเหลือ 5 ปี เท่านั้น ปี 1 ในสมัยผม เขาจะเรียนวิชาที่สอบไม่ได้ก่อนเข้าโรงเรียนแพทย์ เช่น physics, chemistry, biology ฯลฯ
พอได้ข้อมูลแล้ว ผมก็มาพิจารณาตนเอง ต้องรู้เขา รู้เรา (รู้เขาคือรู้ว่าโรงเรียนแพทย์ต้องการอะไร รู้เรา ก็ต้องดูความสามารถของตนเอง) ผมก็แทบจะเป็นบ้าตาย
(อีกแล้ว?!) เพราะตอนนั้นที่โรงเรียนเก่าผม Lindisfarne College อยู่ที่ Wynnstay Hall, Ruabon, Denbighshire, North Wales เป็นโรงเรียนประจำที่ ขอโทษ แสนจะห่วย ไม่ได้อยู่ใน top 1,000 มั้งของโรงเรียนที่สหราชอาณาจักรเลย แต่เป็นโรงเรียนที่อยู่กลางทุ่ง บนเนินเขา มีทะเลสาบเล็กๆ ที่มีหงส์ขาว 1 คู่ มีสนามกีฬา 3-4 สนามมีแม่น้ำ Dee ไหลผ่าน อากาศดี เล่นกีฬา แต่ทางด้านวิชาการอ่อนมาก ปัจจุบันนี้โรงเรียนเจ๊งไปนานแล้ว
และผมสอบ Physics ได้เพียง 14% อย่างสม่ำเสมอ!? (อย่างน้อยมีส่วนดีอีกอย่าง คือ มีความสม่ำเสมอ (consistent)หรือชั่วตลอดกาล)
ถ้าเป็นคนอื่นอาจเลิกความตั้งใจ (แต่ไม่ใช่ผม) ที่จะเรียนหมอเพราะผมรับปากกับคุณพ่อไว้แล้วว่าจะเรียนแพทย์ จริงๆ ท่านอยากให้เรียนอะไรก็ได้ที่เป็นอาชีพอิสระ เช่น วิศวะ สถาปนิก แพทย์ ฯลฯ แต่อยากให้เรียนแพทย์มากที่สุด ผมจึงเดินหน้าต่อ
มาวิเคราะห์ต่อไปว่า ทำไมเราได้ 14% ทำไมเราจึงห่วยอย่างนี้มีทางไหมที่จะทำได้ดีกว่านี้ ผมคงมี growth mindset มาตั้งแต่กำเนิดโดยไม่รู้จักคำว่า growth mindset ด้วยซ้ำไป ผมพบข้อมูลว่าสาเหตุต่างๆ ที่ทำให้ผมสอบ physics ได้ 14% คือ หนึ่ง ครู physics (หน้าตาเหมือน Albert Einstein เลย มีทรงผมตั้งเด่ มาสอนเพียง1 ครั้งต่อ 2 สัปดาห์!? และช่วงที่แกไม่มาสอนผมก็ไม่ได้ทำอะไร เอาแต่เล่นกีฬาทั้งกลางแจ้งและในห้องเรียน (ฟุตบอล) จนโดนครูตีหลายครั้ง ผมจึงคิดแบบเข้าข้างตัวเองว่า นี่เองที่ทำให้เราโง่ สอบได้เพียง 14% ผมมี growth mindset ว่า “ความโง่ สามารถพัฒนาได้”(ให้ความโง่น้อยลงนะครับ ไม่ใช่พัฒนาให้โง่มากขึ้น!?) ผมเป็นคนไม่ยอมแพ้ คิดบวกตั้งแต่เด็ก ไม่เคยคิดแม้แต่น้อย หลังรับปากคุณพ่อว่าจะไม่เรียนหมอ หรือเรียนไม่ได้ ลุยหน้าอย่างเดียว เพื่อที่จะเข้าเรียนให้ได้!? ตอนนั้นไม่เคยคิดว่าจะไม่เรียนแพทย์ หรือเรียนไม่ได้
ยังมีต่ออีกนะครับ
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี