เนื่องจากบทความนี้เป็นบทแรกของปีใหม่ จึงขอสวัสดีปีใหม่กับทุกๆ ท่านอีกครั้งหนึ่ง ขอให้ทุกๆ ท่านกลับมาจากการเที่ยว พักผ่อนหย่อนใจอย่างมีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรง ที่จะทำหน้าที่ของท่านได้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นในปีนี้
สมาคมกีฬาเวชศาสตร์ไทยได้มีการก่อตั้งขึ้นมาในประมาณปี พ.ศ.2521 จนบัดนี้เวลาได้ล่วงเลยไปแล้ว 44 ปี ผมได้พยายามไปค้นหาประวัติจากการกีฬาแห่งประเทศไทย จากผู้รู้ ลูกศิษย์ของท่านที่ กกท. อดีตเจ้าหน้าที่ กกท.และลูกศิษย์ของท่านที่เป็นแพทย์ ต่างก็ไม่ค่อยมีประวัติของสมาคมฯ นอกจากบทความบางส่วนในวารสารกีฬาของการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ปีที่ 22 ฉบับที่ 8 เดือนสิงหาคม 2531 (หน้า 16-17) ที่เจ้าหน้าที่กกท.หาได้ ที่เขียนโดยท่าน ศ.นพ.อวย เกตุสิงห์ บิดาแห่งกีฬาเวชศาสตร์ในประเทศไทย 2 ปีก่อนที่ท่าน ศ.นพ.อวยจะเสียชีวิตในวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ.2533 และจากบทความของ นพ.เจริญทัศน์ จินตนเสรี อดีตผู้ว่าการกีฬาแห่งประเทศไทย ที่เขียนในปี พ.ศ.2534 ซึ่งยังได้อ้างถึงบทความเรื่อง ศ.นพ.อวย เกตุสิงห์ กับการกีฬาของชาติ โดย ดร.สมชาย ประเสริฐศิริพันธ์อดีตผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทยเช่นกัน ในวารสารกีฬา ปีที่ 22 ฉบับที่ 8 เดือนสิงหาคม พ.ศ.2531 (แต่ส่วนนี้และทั้งเล่มหาไม่พบแล้ว) จึงขอนำส่วนที่ท่าน อ.อวย และคุณหมอเจริญทัศน์เขียนมากล่าวไว้เท่านั้น
ก่อนอื่นต้องบอกว่ารู้สึกเสียดายมากที่การกีฬา (กกท.) มีประวัติเพียงแค่นี้ พวกเราไม่ค่อยเขียนประวัติไว้ รวมทั้งในวงการแพทย์ด้วย จากประสบการณ์ของผม ไม่ว่าที่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย สมาคมแพทย์ระบบทางเดินอาหารแห่งประเทศไทย และแพทยสภา คือ ทุกที่ๆ ผมเคยทำงานด้วย หาประวัติ ข้อมูลไม่ได้เลย แต่ยังโชคดีบ้างที่ผม ไม่ว่าจะอยู่ไหน มักจะเขียนบทความลงวารสารของหน่วยงานนั้นๆ ตลอด เช่น ที่ราชวิทยาลัย สมาคม GI แพทยสภา จึงพอหาข้อมูลได้บ้าง ไม่หายไปหมด แต่ก็ยังเป็นข้อมูลของผม จากมุมมองของผมเท่านั้น
จึงขอเชิญชวนพวกเราทุกๆ คน ทุกๆ หน่วยงาน องค์กร โปรดกรุณาเขียนบันทึกข้อมูลต่างๆ ไว้ให้มากที่สุด สำหรับชนรุ่นหลังได้ทราบประวัติขององค์กรนั้นๆ
ในโอกาสต่อไปผมอยากจะขออนุญาตนำประวัติท่าน อ.อวย มาลงไว้ ให้เป็นประวัติสำหรับวงการกีฬา วงการวิทยาศาสตร์การกีฬา และเวชศาสตร์การกีฬา แต่วันนี้ขอตัดบางตอนมาก่อน โดยขอกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า ศ.นพ.อวยเกตุสิงห์ เป็นผู้ให้กำเนิดวิทยาศาสตร์และเวชศาสตร์การกีฬาของไทยอย่างแท้จริง ท่านเกิดวันที่ 3 กันยายน พ.ศ.2451 และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ.2533 รวมสิริอายุ 82 ปี ท่านเป็นผู้ทำให้เกิดการจัดตั้งศูนย์วิทยาศาสตร์การกีฬา ในองค์การส่งเสริมกีฬาแห่งประเทศไทย (ชื่อในขณะนั้นของ กกท.) เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ.2509 ท่านใช้คำว่าวิทยาศาสตร์การกีฬา เพราะคำว่าวิทยาศาสตร์การกีฬามีขอบเขตกว้างกว่าเวชศาสตร์การกีฬา
ต่อมาในปี พ.ศ.2521 (จากบทความของ นพ.เจริญทัศน์ จินตนเสรี ในปี พ.ศ.2534) ท่าน อ.อวยได้ก่อตั้งสมาคมกีฬาเวชศาสตร์แห่งประเทศไทยขึ้นมา และท่าน“ได้รับเลือกโดยเอกฉันท์จากสมาชิกให้ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมฯ อยู่ 2 สมัยติดต่อกันตั้งแต่ 2521-2528 ซึ่งครบวาระและจะรับเลือกอีกไม่ได้ตามข้อบังคับ” ซึ่งท่านมีผลงานมากมายทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการเป็นนายกสมาคมฯ ท่านได้นำความเจริญรุ่งเรือง ชื่อเสียง เกียรติยศ ทั้งจากใน และต่างประเทศ มาให้แก่สมาคม จนในงานฉลองอายุครบ 80 ปีของอาจารย์หมออวย เมื่อวันที่ 3 กันยายน พ.ศ.2531ผู้ที่อยู่ในวงการกีฬาเวชศาสตร์ของประเทศ ยินยอมพร้อมใจมอบสมญานาม “บิดาแห่งกีฬาเวชศาสตร์ในประเทศไทย” แก่ท่าน
ผมเองเรียนแพทย์จนเป็นผู้เชี่ยวชาญทางสาขาอายุรศาสตร์โรคทางเดินอาหาร กลับจากอังกฤษมารับราชการที่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯในปี พ.ศ.2514 ตอนนั้นไม่มีความรู้ ทางเวชศาสตร์การกีฬา หรือวิทยาศาสตร์การกีฬาเลย ถึงแม้เป็นนักกีฬา เล่นกีฬาทุกประเภท รักบี้ ฟุตบอล เทนนิส แบดมินตัน ฮอกกี้ คริกเก็ต ปิงปอง ฯลฯ จนกระทั่งในปี 2520-2524 เป็นกรรมการทางด้านกีฬา ของฝ่ายกิจกรรมนิสิต 2524-2528 เป็นรองคณบดีฝ่ายกิจการนิสิต เวลานิสิตไปไหน ผมก็ไปด้วย ไม่ว่าจะออกค่าย ขุดส้วม สร้างห้องสมุด หรือไปเล่นกีฬา ฯลฯ ณ สนามกีฬา ผมค้นพบว่าผมไม่มีความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาเลย แม้แต่ลูกศิษย์เท้าแพลง จะปฐมพยาบาลอย่างไรก็ไม่ทราบ จะนวด ทายาหม่อง หรืออะไร ด้วยความอยากทำหน้าที่ให้ดีที่สุด จึงไปซื้อหนังสือ วารสารมาอ่าน และพบว่าสมัยโน้น สมาคมกีฬาเวชศาสตร์แห่งประเทศไทย (ก่อตั้งในปี พ.ศ.2521) มีการจัดการอบรมให้ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเวชศาสตร์การกีฬาแก่แพทย์ จึงไปสมัครเรียนๆ ไปจึงสนิทกับคุณหมอเจริญทัศน์(เปี๊ยก) ซึ่งตอนนั้นเป็นผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์การกีฬาของ กกท. (ตอนนั้นเรียกว่าอย่างไรไม่แน่ใจ) และเป็นวิทยากรและเป็นแพทย์คนเดียวมั้งที่มีความรู้ทางด้านกีฬาเวชศาสตร์มากที่สุด ที่ดูแลเกือบทุกสมาคมกีฬา (สมัยนี้ผมอยากให้แพทย์1 คน ดูแลกีฬาประเภทเดียว) ด้วยที่เปี๊ยกเป็นคนร่าเริง ชอบสนุก ชอบดื่ม ชอบกิน ชอบเล่นกีฬา รวมทั้งภรรยาผม (พญ.ปรียา) จบแพทย์ที่ศิริราช รุ่น 71 รุ่นเดียวกับเปี๊ยก เราจึงสนิทกันอย่างรวดเร็วเหมือนเป็นปี่กับขลุ่ย รวมทั้งสมัยโน้นมีแพทย์อังกฤษชื่อ Peter Sperryn ที่เป็นแพทย์ Sports Medicine ที่เชี่ยวชาญทางด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู และเขียนตำราเล่มหนึ่ง Sport and Medicine มาบรรยายให้หลักสูตรเราเกือบทุกหลักสูตร ทุกปีเรา 3 คนจึงไปด้วยกันได้เหมือนกับไฟไหม้ฟาง ซึ่งสมัยโน้นยังมีอาจารย์หมอทางด้านสรีรวิทยา จาก Germany (Cologne) อีกคนที่มาบ่อยและเป็นเพื่อนรักของเปี๊ยก แต่ผมจำชื่อไม่ได้
ช่วงนั้นทำให้ผมมีโอกาสได้รู้จักเพื่อนๆ เปี๊ยกอีก 2 ท่าน คือคุณหมอวารินทร์(กรรมการโอลิมปิก) คุณหมอวิชัย วนดุรงค์วรรณ ซึ่งทั้ง 2 ท่านและเปี๊ยก ต่างก็เป็นลูกศิษย์ท่าน อ.อวย ซึ่งผมมักชอบเรียก 3 ท่านนี้ว่า3 ทหารเสือ ในวงการกีฬาเวชศาสตร์ไทย และเนื่องจากผมจบเทียบเท่าศิริราชรุ่น 70 จึงชอบนึกเอาเองว่า ผมเป็นเพื่อนบุญธรรมและลูกศิษย์ “บุญธรรม” ของท่าน อ.อวย ด้วย เป็นทหารเสือคนที่ 4
เปี๊ยกได้กรุณารับผมเป็นสมาชิก เป็นกรรมการสมาคม เอาผมไปช่วยออก OPD ที่ กกท. เอาผมไปเป็นแพทย์ประจำทีมนักกีฬาไทยในการแข่งขัน SEA และ Asian Games แต่ผมไม่เคยไป Olympics Games ผมเป็นแพทย์ประจำทีมไทยเป็นระยะเวลาเกือบ 10-15 ปีเห็นจะได้ และได้ไป Olympic Games ที่จีนและฟุตบอลโลกที่ประเทศแอฟริกาใต้ ตอนเป็น สว.2551-2554 เพราะตอนนั้นผมเป็นกรรมาธิการการกีฬาที่มี วรวุฒิ โรจนพานิช เป็นประธาน และผมยังเป็นกรรมาธิการการสาธารณสุขอีกด้วย
จะมีเรื่องนี้ต่อครับ
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี