“ผลประโยชน์ทับซ้อน” (conflict of interest) เป็นคำที่ถูกพูดถึงมากในระยะหลังๆ ซึ่งบทความในชื่อเดียวกันที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) อธิบายไว้กว้างๆ ว่า หมายถึงการปฏิบัติหน้าที่ในนามหน่วยงาน แต่ตัดสินใจกระทำหรือไม่กระทำการใดๆ ด้วยปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของตนเองหรือพวกพ้อง โดยหากบุคคลใดถูกตั้งข้อสังเกตในทำนองดังกล่าว ก็ยากที่จะได้รับความเชื่อมั่นว่าจะปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเป็นกลาง
สำหรับกรณีของ “บุคลากรภาครัฐ” ทั้งฝ่ายการเมือง (เช่น คณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา รวมถึงผู้บริหารและสมาชิกสภาท้องถิ่น) และฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐประจำ (ข้าราชการและพนักงานสังกัดหน่วยงานของรัฐ) พฤติกรรมที่เข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อนนั้นในทางทฤษฎีมีหลายรูปแบบ ตั้งแต่การเรียกรับผลประโยชน์ การใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตนไปช่วยเหลือญาติพี่น้องพรรคพวก หรือไปเอื้อต่อการทำธุรกิจของตนโดยตรง ไปจนถึงเรื่อง “การนำทรัพย์สินขององค์กรไปใช้ส่วนตัว” ที่คุ้นเคยกันดีแต่ไม่ค่อยจะมีใครนึกถึงนัก
และเรื่องหลังนี้เองได้กลายเป็น “ดราม่ารับปีใหม่” เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก หลังมีผู้นำ ประกาศสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง มาตรการป้องกันกรณีการใช้ทรัพย์สินของทางราชการ ซึ่งเป็นหนังสือคำสั่งเลขที่ สธ. 0201.04/ว 3784 และมี นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ลงนามเมื่อ 29 ธ.ค. 2560 มาเผยแพร่บนโลกออนไลน์ โดยเรื่องนี้ปรากฏเป็นข่าวเมื่อ 5 ม.ค. 2561
ประกาศดังกล่าวนั้น ระบุว่า ห้ามเจ้าหน้าที่รัฐนำทรัพย์สินของทางราชการทุกประเภท รวมถึงเครื่องมือเครื่องใช้สำนักงานไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว ห้ามแม้กระทั่ง “การนำโทรศัพท์มือถือมาชาร์จกระแสไฟฟ้าในสถานที่ราชการ” รวมถึงห้ามนำยานพาหนะส่วนตัวมาจอดค้างคืน หรือแม้แต่นำมาล้างในสถานที่ราชการด้วย แน่นอนว่าเสียงสะท้อนจากชาวเนตไทยส่วนใหญ่คือ“สับเละ” ประกาศดังกล่าว ด้วยมองว่า “เกินกว่าเหตุ” มีเรื่องป้องกันทุจริตมากมายที่ “ใหญ่ๆ โตๆ” ให้ทำกลับไม่ทำ แต่ทำ “จี้”เอากับเรื่อง “หยุมหยิม” เช่นนี้
หลังปล่อยให้อารมณ์คนไทยเดือดอยู่หลายชั่วโมง ในวันเดียวกัน นพ.ยงยศ ธรรมวุฒิ ที่ปรึกษาระดับกระทรวง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ ด้านเวชกรรมป้องกัน ในฐานะรักษาราชการแทนหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต กระทรวงสาธารณสุข (ศปท.) เผยแพร่เอกสารชี้แจงเรื่องนี้ว่า สธ. ออกประกาศดังกล่าวเพื่อแสดงเจตจำนงสุจริตในการบริหารราชการและการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่ให้เกิดการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวในตำแหน่งหน้าที่อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย เป็นแบบอย่างที่ดี ยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้องเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชน
โดยมุ่งหวังที่จะปรับเปลี่ยนแนวคิดของคนในหน่วยงานให้สามารถคิดแยกแยะว่าเรื่องใดเป็นประโยชน์ส่วนตนและเรื่องใดเป็นประโยชน์ส่วนรวม ทั้งนี้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 ส.ค. 2560 ที่รับทราบ (ร่าง) พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม พ.ศ. ....อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 6 ม.ค. 2561 หรือ 1 วันหลังเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ นพ.เจษฎา ชี้แจงว่า กรณีห้ามชาร์จมือถือนั้นมุ่งหวังเรื่องการ “ประหยัดพลังงาน” แต่เมื่อพบปัญหาขึ้นก็ได้สั่งการให้ผู้เกี่ยวข้องทบทวนประกาศดังกล่าวแล้ว
ทั้งนี้ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับทางปลัด สธ. เพราะเรื่องดังกล่าวเชื่อได้ว่ามิได้คิดขึ้นมาเองลอยๆ โดยหากย้อนไปเมื่อ 1 ส.ค. 2560 ในครั้งนั้น พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยระบุถึงกฎหมายว่าด้วยการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม ที่มอบหมายให้แต่ละหน่วยงานไปพิจารณาออกแนวปฏิบัติตามความเหมาะสม
“ที่ประชุมครม.ถามกันมากมายว่า ในวันข้างหน้าใครจะกล้าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐก็ต้องบอกว่าถ้าเราตั้งใจจริงที่จะทำงานเพื่อประชาชน เราต้องพร้อมถูกตรวจสอบ ทุกประเทศที่เจริญแล้วก็มีกฎหมายนี้ทั้งนั้น ซึ่งหมายรวมการแทรกแซงแต่งตั้งโยกย้ายก็โดน เอาซองจดหมายตราครุฑของราชการ หยิบเงินใส่ช่วยงานศพก็โดน เอาโทรศัพท์มือถือชาร์จไฟหลวงก็โดน
ซึ่งตัวอย่างเหล่านี้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ถ้าตีความกันแบบนี้ก็จะเวอร์ไป ซึ่งต้องมีการออกกฎหมายลูก กฎระเบียบของแต่ละหน่วยงานว่า อนุญาตให้อะไรแค่ไหนอย่างไร จะเสียบโทรศัพท์ได้กี่ชั่วโมง เป็นต้น” พล.ท.สรรเสริญ กล่าวกับสื่อมวลชนในวันนั้น
เช่นเดียวกัน..เรื่องที่ พล.ท.สรรเสริญ กล่าวมานั้น ก็ต้องย้อนไปเมื่อ 12 ก.ย. 2559 ที่รองนายกฯ วิษณุ ออกมากล่าวถึงร่างกฎหมายว่าด้วยการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม ว่าถ้าหาก “ตีความกันเป๊ะๆ” ก็จะดูน่ากลัวมาก เพราะไม่ว่า “รถหลวง-ซองเอกสารหลวง-ไฟหลวง” ถ้าใช้นอกเหนือจากหน้าที่ราชการ “ผิดหมด” และย้ำว่าประเทศอื่นๆ มีกฎหมายแบบนี้จริงๆ แต่ประเทศไทยยังไม่เคยมี
มานะ นิมิตรมงคล ผู้อำนวยการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) กล่าวกับทีมงาน “แนวหน้าวาไรตี้” ว่าคงต้อง “ขอชมในความกล้า” ของ สธ. ที่ออกประกาศดังกล่าวมา เพราะแม้ท้ายที่สุดจะยกเลิกไป แต่อย่างน้อยก็เป็นการ “เปิดประเด็น” ให้คนไทยได้ “ถกเถียง” กันอย่างจริงจัง ว่าการใช้ทรัพย์สินทางราชการกับเรื่องส่วนตัว “อย่างไหนพอรับได้-อย่างไหนไม่สมควร” ตามบริบทของสังคมและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป
“ในอดีตเราใช้โทรศัพท์สาย ถ้าเอามาโทร.เรื่องส่วนตัวอันนี้ชัดเจนว่าผลประโยชน์ทับซ้อน แต่วันนี้โทรศัพท์มือถือเป็นเรื่องที่ต้องเกื้อกูลกัน ข้าราชการจำนวนมากใช้ติดต่องาน ติดต่อผู้บังคับบัญชาหรือผู้ใต้บังคับบัญชา ดังนั้นการชาร์จโทรศัพท์ครั้งหนึ่งไม่กี่สตางค์เป็นเรื่องเข้าใจได้ แต่ในอนาคตด้วยเทคโนโลยี คนจะเปลี่ยนมาใช้รถพลังงานไฟฟ้ามากขึ้น ถ้าวันนี้เราไม่พูดเรื่องชาร์จไฟ ต่อไปถ้าข้าราชการเอารถมาชาร์จที่ทำงาน เรายอมไหม?” ผอ.องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ตั้งประเด็นคำถาม
ขณะที่มุมมองจากนักวิเคราะห์ประเด็นปัญหาทุจริต สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ธิปไตย แสละวงศ์ กล่าวว่าในเบื้องต้นประกาศของ สธ. ออกมาค่อนข้างดี แต่ “ยกเว้น” เพียงข้อห้ามการชาร์จโทรศัพท์มือถือในสถานที่ราชการเท่านั้น ซึ่งเข้าใจว่าที่ สธ. เอาจริง เพราะเคยมีกรณีเจ้าหน้าที่ในกระทรวงถูกชี้มูลความผิดฐานนำรถยนต์ของทางราชการไปใช้ในงานแต่งงานอันเป็นเรื่องส่วนตัว
ธิปไตย กล่าวต่อไปว่า ประกาศของ สธ. นั้นสอดคล้องกับตัวกฎหมายว่าด้วยการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม ซึ่งต่อไปเมื่อมีกฎหมายดังกล่าว หน่วยงานต่างๆ ก็จะต้องทำบัญชีการใช้ทรัพย์สิน เช่น การเบิกรถยนต์ของทางราชการไปใช้ต้องระบุว่านำไปใช้งานอะไรบ้าง แต่ถึงกระนั้น หากอยากให้ประเด็นผลประโยชน์ทับซ้อนถูกขับเคลื่อนอย่างเห็นผลเป็นรูปธรรม ก็มีเรื่องใหญ่ๆ ที่น่าทำมากกว่า
โดยเฉพาะ “การรับของขวัญของกำนัล” ของผู้บริหารระดับสูงภาครัฐทั้งฝ่ายการเมืองและฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐประจำ ดังมีตัวอย่างจาก แคนาดา ที่นายกรัฐมนตรีเมื่อไปรับของขวัญจากใครมา ก็จะมา “แจ้ง” หน่วยงานที่กำกับดูแลความโปร่งใสของหน่วยงานรัฐ แล้วหน่วยงานกำกับดูแลก็จะ “เผยแพร่ลงเว็บไซต์” ให้ประชาชนได้รับทราบ เช่น ได้ของอะไรมา ใครมอบให้ เนื่องในโอกาสไปร่วมงานใด ฯลฯ ซึ่งในแคนาดาไม่ได้ห้ามรับของขวัญไปเสียทั้งหมด เพียงแต่การเผยแพร่ข้อมูลเช่นนี้ทำให้สังคมได้พิจารณาว่าการรับของนั้นมา “เหมาะสม” หรือไม่อย่างไร
“บ้านเรา ป.ป.ช. (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) รับเรื่องแต่ไม่ค่อยให้ใครดู แล้วเหมือนปัจจุบันก็พยายามจะทำย้อนกลับ คือบัญชีแจ้งทรัพย์สินพยายามจะลดข้อมูลที่เปิดเผยให้น้อยลง คือเอาเป็นสรุปแต่ไม่ละเอียด ความจริงคือมันต้องทำให้ละเอียดขึ้นกว่าเดิม แต่ถ้าคุณจะบอกว่ามันเยอะเพราะนักการเมืองท้องถิ่นก็เป็นพันคนแล้ว คุณก็ไปเน้นเฉพาะตัวใหญ่ๆ ก็ได้ แล้วก็เปิดเผยให้ละเอียด แบบนี้ถึงจะเป็นสากลหน่อย” นักวิชาการจาก TDRI ฝากทิ้งท้าย
แม้ประกาศของ สธ. ดังกล่าวจะถูกยกเลิกไปแล้ว แต่สิ่งที่น่าจะเป็น “บทเรียน” ของผู้ออกนโยบาย คือ มาตรการต่างๆ ที่ออกมานั้นควร “รับฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้าน” ก่อนหรือไม่? ซึ่งเสียงสะท้อนจากคนทำงานภาครัฐไม่ว่าจะหน่วยงานใด ระยะหลังๆ มักกล่าวตรงกันว่า “ต้องทำงานมากกว่าในเวลาราชการ” รวมทั้ง “ต้องใช้ทรัพย์สินส่วนตัวสำหรับปฏิบัติหน้าที่” เช่น โทรศัพท์มือถือหรือแม้แต่คอมพิวเตอร์ที่บ้าน ดังนั้นแม้มีเจตนาดี
แต่หาก “ตึงเกินไป” ก็อาจกระทบต่อ “ขวัญกำลังใจ” ของคนทำงานได้เช่นกัน!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี