ตอนนี้ใครไม่พูดถึง “บิทคอยน์” (Bitcoin) ดูเป็นคนล้าสมัย แต่ที่ผมเขียนถึงเรื่องนี้ ไม่ใช่เขียนเพื่อให้ดูทันสมัย แต่เขียนให้เห็นถึงหายนะของการเก็งกำไรบิทคอยน์ซึ่งก็คือ “จตุคาม” หรือ “ตุ๊กตาลูกเทพ” ในโลกสากลนั่นเอง ดังที่เป็นที่รู้กันว่าบิทคอยน์เป็น “เงินดิจิทัล” (Cryptocurrency) สกุลหนึ่ง ซึ่งถูกบันทึกไว้ด้วยข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ และไม่มีตัวแทนมูลค่าในรูปแบบเหรียญหรือธนบัตร
ขณะที่เงิน 1 บาทสามารถแบ่งออกเป็น 100 สตางค์ บิทคอยน์ 1 เหรียญสามารถแบ่งย่อยได้ถึง 100 ล้านหน่วย ปัจจุบันบิทคอยน์สามารถใช้ซื้อสินค้าและบริการได้ “แต่จำนวนร้านค้าที่รับบิทคอยน์นั้นยังนับว่าน้อยกว่าสกุลเงินปกติมาก” นอกจากนี้ “การโอนและแลกเปลี่ยนบิทคอยน์ข้ามชาติ” เป็นไปได้อย่างรวดเร็ว “โดยไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว” แล้วอย่างนี้มันโปร่งใสที่ตรงไหน?
นอกจากจับต้องไม่ได้แล้ว บิทคอยน์ยังไม่ได้เป็นของสถาบันการเงินใด ๆ หากแต่บิทคอยน์นั้นถูกดูแลโดยเครือข่ายระบบคอมพิวเตอร์ทั่วโลก ที่ช่วยกันจดบันทึกการทำรายการของทั้งระบบพร้อม ๆ กันทุกครั้งที่มีการทำรายการ จึงทำให้การแก้ไขปลอมแปลงนั้นเกิดขึ้นได้ยากมาก เทคโนโลยีที่ว่านี้เรียกว่า “บล็อคเชน” (Blockchain) แต่ที่เขาว่าข้างต้นนี้ “ไม่รู้จะเหมือนถูกหลอกเรื่อง Y2K เมื่อเกือบ 20 ปีก่อนหรือไม่?” ที่พูดว่าบิทคอยน์ได้รับการดูแลโดยเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั่วโลกนั้น ตอนนี้ระบบหลักๆ ก็มีอยู่ไม่กี่ค่าย กึ่งจะผูกขาดรอมร่ออยู่หรือเปล่า?
"2 สิ่งที่เคยเป็นกระแสในไทย" : จตุคามรามเทพ (บน) , ตุ๊กตาลูกเทพ (ล่าง)
ที่มา :
https://horoscope.mthai.com/horoscope-highlight/8526.html
https://board.postjung.com/943567.html
ในทางตรงกันข้าม เร็วๆ นี้ก็มีข่าวว่า "คลังเตือนลงทุนบิทคอยน์เสี่ยงสูง เข้าข่ายการพนัน ไม่มีกฎหมายรองรับ ย้ำหากเกิดความเสียหายจะไม่ได้รับการดูแล" แต่ยอมรับว่าเงินดิจิทัลมีความน่าสนใจในตัวเองหากไม่ผันผวนและควบคุมได้ ด้าน สศช. ระบุยังไม่พบสัญญาณที่ส่อกระทบระบบการเงิน กระแสการลงทุนในเงินดิจิทัลเริ่มได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะ บิทคอยน์ ซึ่งราคาปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากระดับ 800 ดอลลาร์ต่อบิทคอยน์ในช่วงต้นปี 2560 มาอยู่ที่ประมาณ 17,000 ดอลลาร์ต่อบิทคอยน์ (ณ 15 ธันวาคม 2560)
"เราคงไม่ต้องเอ่ยถึงตำนานจตุคามและตุ๊กตาลูกเทพโดยละเอียด เพราะเพิ่งผ่านพ้นมาไม่นาน แต่เราคงจำข่าวได้ว่ามีการประณามคนทิ้งจตุคามร่วมแสนองค์ริมถนนเมืองคอนหลังหมดมนต์ขลัง หรือข่าวทิ้งตุ๊กตาลูกเทพเกลื่อนวัด ลำพังเฉพาะจตุคามก็เคยมีมูลค่าตลาดถึง 20,000 ล้านบาท เคยมีคนเช่าในราคา 39 บาท แต่เพิ่มขึ้นเป็นแสนบาท"
นักลงทุน "ต้องแม่นในหลักการที่ไม่ใช่ลมเพลมพัด" ในเรื่องราคาและตลาด การซื้อขายจะมีราคาตลาด (Market Prices) ราคานั้นก็จะสะท้อนมูลค่าที่แท้จริง (Market Value) ของทรัพย์สินที่เราประเมินซึ่งอาจแตกต่างไปบ้างตามลักษณะเฉพาะของทรัพย์สิน โดยถือตามพฤติกรรมตลาด (Market Behavior หรือ Market Practices) ในท้องตลาด เป็นผู้กำหนดราคาตลาด อย่างไรก็ตามในตลาดที่ไม่สมบูรณ์ (Imperfect Market) กลไกตลาดอาจถูกบิดเบือนไปได้ในบางขณะสั้น ๆ แต่ไมใช่ตลอดไป
"หมดกระแสก็หมดราคา" : ชาวบ้านพบจตุคามรามเทพถูกทิ้งกองข้างถนนจำนวนมาก ที่ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช (บน) , ตุ๊กตาลูกเทพถูกนำมาทิ้งไว้ที่วัดสว่างอารมณ์ ต.ขุนแก้ว อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม (ล่าง)
ที่มา : ASTVผู้จัดการ , ไทยรัฐ
อาจกล่าวได้ว่า "เมื่อมีตลาดก็จะมีราคา" เพราะตลาดเป็นแหล่งสังเคราะห์อุปสงค์และอุปทานให้ออกมาเป็นราคาตลาด มีตัวอย่างเช่นหินดวงจันทร์มีราคา 1 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่มีราคาเช่นนี้ก็เพราะมีพฤติกรรมตลาดที่แน่ชัดที่ผ่านการซื้อขายมาหลายต่อหลายครั้งในตลาด จนสามารถทราบได้นั่นเอง แต่กรณีบิทคอยน์ จตุคามหรือตุ๊กตาลูกเทพ คงไม่มีราคาที่แน่ชัดเพราะเป็นของบุคคลแต่ละคน มีต้นทุนในการซื้อหามา แต่ไม่มีมูลค่าในการแลกเปลี่ยน เราจึงเห็นปรากฏการณ์การทิ้งจตุคามและลูกเทพกันเกลื่อนในภายหลัง
"อย่าเห็นขี้ฝรั่งหอม" ในโลกสากลนั้น "ฝรั่งมักฟอร์มเก่ง ญี่ปุ่นมักทำเก่ง จีนมักโม้เก่ง" ปรากฏการณ์ที่ราคาบิทคอยน์พุ่งสูงอย่างไม่น่าเชื่อ เป็นสิ่งที่ควรจับตามอง มันมาพร้อมกับการใส่คำศัพท์ (Jargon) เข้าไปหลายคำหน่อยเพื่อให้ผู้คนพยักหน้าหงึกๆ แต่ไม่รู้ว่ารู้เรื่องจริงหรือไม่ ใส่เครื่องมือคอมพิวเตอร์ (ขุดเงิน) ให้ดูซับซ้อนเท่ๆ เข้าไปอีกสักนิด ก็สามารถสร้างภาวะเก็งกำไรได้
"ขุดเหมือง" (Mining) เป็นคำที่ใช้เรียกการนำแผงวงจรคอมพิวเตอร์จำนวนมากมาเพื่อประมวลผลหาบิทคอยน์
ที่มา : https://news.bitcoin.com/what-happens-bitcoin-miners-all-coins-mined/
นอกจากจะไม่มีกลไกการตรวจสอบที่น่าเชื่อถือและได้รับการรับรองระดับนานาชาติแล้ว ยังได้ธนาคาร ตลาดหลักทรัพย์และส่วนราชการบางแห่ง “ปากว่าตาขยิบ” ช่วยกันกระพืออีกสักหน่อย ก็สามารถทำให้บิทคอยน์ผงาดอย่างเท่ๆ ได้ นี่คือการเกิดขึ้นอย่างอิสระหรือมีอะไรชักใยอยู่เบื้องหลัง? ในคำประกาศของกลุ่มประเทศ G20 เรื่องตลาดการเงิน (Declaration of the Summit on Financial Markets and the World Economy: Common principles for reform) เมื่อปี 2551
“หลังวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ (Hamburger Crisis) หรือวิกฤติซับไพร์ม (Subprime) นั้น ได้ระบุชัดว่าต่อจากนี้ต้องมีการสร้างความเข้มแข็งในด้านความโปร่งใสในวงการเงิน มีมาตรการทางการเงินที่มีเหตุมีผล ความน่าเชื่อถือในตลาดการเงิน แสวงหาความร่วมมือนานาชาติ รวมทั้งการสังคายนาสถาบันการเงินนานาชาติ แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดบิทคอยน์นี้ แสดงถึงการขัดหลักการที่ประกาศนี้โดยชัดแจ้ง การที่รัฐบาลในประเทศพัฒนาแล้วเอาหูไปนาตาไปไร่ และรัฐบาลในประเทศกำลังพัฒนาก็ตามไม่ทัน การเก็งกำไรและความหายนะทางการเงินก็จะตามมา”
ดู Lehman Brothers, Enron ธนาคารแบริ่ง และบริษัทยักษ์ใหญ่อื่นๆ ต่างก็พังพินาศกันมาแล้ว เพราะความไม่โปร่งใส (นี่ถ้ายังรอดชีวิตอยู่มาถึงทุกวันนี้เช่นเดียวกับบริษัทใหญ่อื่นๆ ก็คงคว้ารางวัลความโปร่งใสเป็นว่าเล่น) ในโลกนี้ยังมีความขมุกขมัวมากมาย แม้แต่บริษัทจัดอันดับต่างๆ ที่เที่ยวไปจัดอันดับให้ประเทศนั้นประเทศนี้หรือจัดอันดับให้กับบริษัทใหญ่ๆ ต่างๆ บริษัทเหล่านี้เองมีใครสามารถตรวจสอบได้หรือไม่? แอบทำชั่วอะไรซ่อนไว้บ้างหรือไม่ ก็ไม่มีใครจะตอบได้
ในประเทศไทยเองก็เคยได้รับการสรุปโดยผู้เชี่ยวชาญจาก ธนาคารโลก (World Bank) ถึงความไม่โปร่งใสของระบบธนาคารไทยในช่วง “ต้มยำกุ้ง” วิกฤติเศรษฐกิจ 2540 ว่าเป็นเพราะ “*fundamental weakness in the banking system operating under outdated regulatory rules and supervision - undercapitalization, insider lender, lack of disclosure, unsound practicesled to overinvestment in real estate” (Renaud. Bertrand) นอกจากนี้ Dr.Yap ยังกล่าวถึงความสัมพันธ์ที่ไม่โปร่งใสของสถาบันการเงินกับบริษัทอื่นๆ เป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดวิกฤติด้วย
(*แปล-“พื้นฐานระบบธนาคารที่อ่อนแอภายใต้กฎระเบียบและการกำกับดูแลที่ล้าสมัย ภายใต้โครงสร้างการลงทุน ผู้ให้กู้ภายใน ขาดการเปิดเผย มีแนวปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง และมีการลงทุนมากเกินไปในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์”-เป็นสาเหตุของวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2540)
คำคมภาษาอังกฤษมีคำหนึ่งว่า “too good to be true” ซึ่งแปลว่า “so good that it is hard to believe, or seeming very good but not real” หรือแปลง่ายๆ ว่า “ดีเกินจริง” ใช่ว่าคนมีความรู้ มีฐานะสูง จะไม่งมงาย คนบางคนมักดูถูกประชาชนรากหญ้าว่างมงายในการขูดเลขแทงหวย (ซึ่งอาจเป็นความหวังที่เหลืออยู่อย่างเดียวของการจะรวยได้ของเขา) แต่ลืมดูไปว่า พวกดูทันสมัยเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ ก็งมงายมากกว่าด้วยซ้ำไป
ถูกกระแสสากลหลอกได้ง่ายๆ เข้าทำนองถ้าไม่ยอมให้ถูกหลอกอาจดูโง่!!!
โสภณ พรโชคชัย
ประธานกรรมการบริหาร
ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (AREA)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ประณามคนทิ้ง "จตุคาม" ร่วมแสนองค์ริมถนนเมืองคอนหมดมนต์ขลัง (14 มี.ค. 2551)
เอาไปทิ้ง ตุ๊กตาลูกเทพ เกลื่อนวัด หมอแมคแฉ กระแสแอนตี้ เลี้ยงโอเวอร์! (2 ก.พ. 2559)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี