“ก้าวคนละก้าว” เป็นโครงการที่นักร้องนักดนตรีคนดัง “ตูน บอดี้สแลม” อาทิวราห์ คงมาลัย ออกวิ่งจาก อ.เบตง จ.ยะลา ปลายทาง อ.แม่สาย จ.เชียงราย รวมระยะทาง 2,191 กิโลเมตร ใช้เวลา 55 วัน นับตั้งแต่ 1 พ.ย.-25 ธ.ค.2560 เพื่อระดมทุนช่วยเหลือโรงพยาบาล 11 แห่ง โดยตลอดเส้นทางมีประชาชนจำนวนมากมารอบริจาคเงิน รวมถึงในหลายพื้นที่ที่ “พี่ตูน” ไม่ได้วิ่งผ่าน บรรดาคนดังจากหลากหลายวงการก็ขอ “เก็บตก” วิ่งแทนเพื่อช่วยระดมทุนอีกแรง จนสามารถรวบรวมเงินบริจาคได้ “มากกว่า 1 พันล้านบาท” ณ วันที่วิ่งถึงเส้นชัย
1 เดือนผ่านไป..แม้ภารกิจใหญ่ของนักร้องคนดังจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่งานของบุคลากรทางการแพทย์ปฏิบัติหน้าที่อยู่ทั่วประเทศไทยยังคงดำเนินต่อไป นอกจากนี้ “งบประมาณรายจ่ายด้านสาธารณสุข” ที่รัฐไทยก็จะต้อง “แบกรับ” มากขึ้นด้วยเช่นกัน ดังที่ ณัฐนันท์ วิจิตรอักษร นักวิชาการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)กล่าวในงานแถลงข่าว “อีก 15 ปีข้างหน้า อนาคตค่าใช้จ่ายสาธารณะด้านสุขภาพของไทยจะเป็นอย่างไร?” ณ อาคาร TDRI ซ.รามคำแหง 39 ย่านบางกะปิ กรุงเทพฯ ว่า
ในมุมหนึ่งต้องยอมรับกรณีการเกิดขึ้นของ “ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า” (30 บาทรักษาทุกโรค) ในปี 2545 ทำให้งบประมาณด้านสาธารณสุขเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ “จากอยู่ที่ประมาณร้อยละ 7-10 ของงบประมาณประเทศของแต่ละปี ในช่วงปี 2538-2544 เพิ่มเป็นเฉลี่ยร้อยละ 10-14 ของงบประมาณประเทศของแต่ละปี ตั้งแต่ปี 2545-2557” แต่อย่างไรก็ตาม “ไม่อยากให้ไปเพ่งเล็งจุดนี้มากเกินไป” เพราะงบประมาณด้านสาธารณสุขในแต่ละปีนั้น “มีขึ้นมีลง” ทั้งช่วงก่อนและหลังมีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
อีกทั้งเมื่อนำไปเทียบกับ “ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ” (GDP) ก็ยังพบว่า “แม้จะเป็นช่วงหลังมีบัตรทอง 30 บาทแล้ว แต่งบประมาณรายจ่ายด้านสาธารณสุขมีมูลค่าเพียงร้อยละ 2-3 ของ GDP ทั้งหมดของประเทศไทยเท่านั้น” ซึ่งเรื่องนี้ต้องยอมรับในความสามารถของรัฐบาลไทย ที่สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขของประเทศไม่ให้แกว่งผันผวนไปมามากเกินไป
ทว่านั่นคืออดีตที่ผ่านมา แต่สำหรับในอนาคต ต้องบอกว่า “เหนื่อยแน่” จากปัจจัยสำคัญคือ “โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไป” โดยในปี 2560 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีประชากรวัยเด็ก อายุ 0-14 ปี ร้อยละ 17 วัยทำงาน อายุ 15-59 ปี ร้อยละ 66 และวัยชรา อายุ 60 ปีขึ้นไป ร้อยละ 17 แต่ “ในปี 2575” ประชากรวัยเด็กจะลดลงเหลือร้อยละ 14 วัยทำงานลดเหลือร้อยละ 58 “สวนทางกับประชากรวัยชราที่จะเพิ่มขึ้น” เป็นร้อยละ 29
เรื่องนี้ “สำคัญมาก” เพราะจากการคำนวณแล้วพบว่า “งบประมาณแผ่นดินที่ต้องใช้จ่ายด้านสาธารณสุขในปี 2575 หากคำนวณด้วยค่าภาวะปกติทั่วไปจะอยู่ที่ 4.83 แสนล้านบาท แต่หากคำนวณด้วยภาวะสังคมสูงวัย จะเพิ่มสูงไปถึง 1.4 ล้านล้านบาท” ซึ่งสาเหตุคือ “กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง” (NCDs) เช่น เบาหวาน ความดัน โรคหัวใจ ถุงลมโป่งพอง มะเร็ง และโรคอ้วน อันเป็นผลมาจาก“พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ถูกไม่ควรมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน” โดยข้อมูลจาก กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พบว่าแต่ละปีมีคนไทยเสียชีวิตจากโรคกลุ่มนี้ประมาณ 3 แสนคน
“เราพูดกันเยอะมากเรื่องสังคมผู้สูงอายุ แต่ยังไม่เห็นมาตรการชัดเจนทั้งเรื่องการรักษาพยาบาล หรือในเรื่องของการส่งเสริมป้องกันที่ชัดเจน เราเห็นแต่เพียงโรงพยาบาลของรัฐหลายแห่งมีเวทีให้เต้นแอโรบิก แน่นอนว่าการทำแบบนั้นสำหรับบางคนมันมีประโยชน์ แต่กับบางคนอาจจะไม่มีประโยชน์ ถ้าไปดูต่างประเทศเขาจะมีความหลากหลายพอสมควร เป็นแอโรบิกบ้างหรือกิจกรรมอื่นๆ บ้าง” ณัฐนันท์ กล่าว
เช่นเดียวกับ นพ.ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล อดีตรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ที่กล่าวเสริมว่า แม้ปัจจุบันรัฐบาลไทยโดย กระทรวงการคลัง จะมีนโยบายจัดเก็บ “ภาษีความหวาน”กับบรรดาเครื่องดื่มผสมน้ำตาล แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว “ยังไม่สร้างแรงจูงใจ” ให้ประชาชนรู้สึก “อยากลดการบริโภคลง” เมื่อเทียบกับนโยบายเดียวกันในต่างประเทศ จึงไม่อาจต้าน“กลยุทธ์การตลาด” ของเครื่องดื่มกลุ่มนี้ได้
“เครื่องดื่มบางประเภทมอมเมาคนจน ผมย้ำว่าคนจน มีชิงโชค มีแจกรถมีพาไปเที่ยว อันนี้ทำให้การบริโภคเกินความจำเป็น ดังนั้นภาษีความหวานของประเทศไทยยังมีโอกาสเพิ่มได้อีกเพื่อให้ถึงจุดที่ผู้บริโภคต้องชั่งน้ำหนัก” อดีตปลัด สธ. ระบุ
แม้บทสรุปของรายงานนี้จะเน้นไปที่การ “ป้องกันก่อนป่วย” โดยต้องเริ่มทำตั้งแต่ยังเป็นวัยหนุ่ม-สาว ทว่าสำหรับสังคมไทย นี่คือ “ความท้าทาย” อย่างมากว่าจะทำให้เกิดผลเป็นรูปธรรมได้อย่างไร? อาทิ “การออกกำลังกาย” ดังการเปิดเผยของ นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมอนามัย เมื่อต้นเดือน ธ.ค. 2560 ว่าคนไทยมี “พฤติกรรมเนือยนิ่ง” หรือการนั่งติดต่อกันเป็นเวลานานถึง “14 ชั่วโมงต่อวัน” นั่นหมายถึงคนไทยขาดการบริหารร่างกายอย่างเพียงพอ
แต่ก็ต้องบอกว่า “น่าเห็นใจ” เพราะรูปแบบงานในสังคมยุคใหม่มีลักษณะ “นั่งโต๊ะ” อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นหลักมากกว่าใช้กำลังแรงกาย เมื่อรวมกับการต้อง “เสียเวลาเดินทาง” ที่ข้อมูลจาก 2 บริษัทเอกชนดังระดับโลกกล่าวตรงกัน อาทิ ฟอร์ด (Ford) ผู้ผลิตรถยนต์เจ้าดังสัญชาติอเมริกัน เคยเผยแพร่ผลสำรวจเมื่อเดือน ก.พ. 2558 ว่าคนกรุงเทพฯ เสียเวลากับปัญหา “รถติด” เฉลี่ย 12-20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และ “อูเบอร์” (Uber) ผู้ให้บริการรถรับ-ส่งผ่านแอพพลิเคชั่น เผยแพร่ผลสำรวจเมื่อเดือน พ.ย. 2560 ว่าคนกรุงเทพฯ เสียเวลากับรถติดเฉลี่ย 72 นาทีต่อวัน
จึงไม่ต้องแปลกใจหากมีรายงานเป็นระยะๆ ว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยสุ่มเสี่ยงต่อ “ภาวะน้ำหนักเกิน” เพราะแทบไม่มีโอกาสได้ออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญพลังงานจากอาหารที่รับประทานเข้าไป และภาวะน้ำหนักเกินนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของกลุ่มโรค NCDs ซึ่งก็เป็น “โจทย์ที่แก้ยาก” เสียเหลือเกิน ดังนั้นท้ายที่สุดเมื่อวันนั้นมาถึง รายจ่ายด้านสาธารณสุขของประเทศพุ่งสูงขึ้นจริงตามคำทำนายของนักวิชาการ ภาครัฐและสังคมไทยอาจต้องทำใจ
และบรรดา “ผู้กล้า-จิตอาสา” ทั้งหลาย ก็คงต้อง “เสียสละ” ออกแรงวิ่งกันอีกครั้ง (หรือหลายๆ ครั้ง)!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี