“ในกรุงสยามนั้น ถ้าใครป่วยไข้ลง ก็จะเริ่มทำเส้นสายยืดโดยให้ผู้ชำนาญทางนี้ขึ้นไปบนร่างกายของคนไข้ แล้วใช้เท้าเหยียบ กล่าวกันว่าหญิงมีครรภ์มักใช้ให้เด็กเหยียบเพื่อให้คลอดบุตรง่าย ไม่พักเจ็บปวดมาก”..ความตอนหนึ่งจาก “จดหมายเหตุลาลูแบร์” บันทึกของ ซิมง เดอ ลา ลูแบร์ (Simon de La Loubere) ราชทูตชาวฝรั่งเศสที่เดินทางมายังอาณาจักรอยุธยาในปี 2230 แล้วได้บรรยายสภาพสังคมในอาณาจักรแห่งนี้ รวมถึง “นวดแผนไทย” ศาสตร์การบรรเทาอาการปวดเมื่อยเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อของชาวสยาม (หรือชาวไทย) ด้วย
ทว่าเมื่อวันเวลาผ่านไป จาก “วิชาชีพชั้นสูง” มีครูบาอาจารย์ นวดแผนไทยถูกมองอย่าง “ลดค่า” เพราะมีการนำไปเชื่อมโยงกับ “การค้าประเวณี” แต่เรื่องนี้ก็ “น่าเห็นใจ” ดังที่ “สกู๊ปแนวหน้า” เคยนำเสนอไปแล้วครั้งหนึ่ง (รับ “ทิป” แทน “ค่าจ้าง” มุมมืดเอื้อ “นวดพ่วงนาบ” : สกู๊ปแนวหน้าฉบับวันที่ 29 ก.ย. 2558) ถึง “โครงสร้างค่าจ้าง” ที่กลายเป็นการ “กดดัน” ให้ต้องเสนอ “บริการพิเศษ” อย่างยากจะหลีกเลี่ยง
กล่าวคือ ตามร้านนวดที่พบเห็นการกำหนดราคาไว้ว่า “2 ชั่วโมง 300-400 บาท” ทว่าราคาข้างต้นนั้นพนักงานนวดจะได้ส่วนแบ่งเพียง “40:60” เช่น หากลูกค้าจ่าย 400 บาท พนักงานจะได้เพียง 160 บาท “ไม่มีเงินเดือนหรือค่าจ้างรายวัน” เหมือนแรงงานในภาคส่วนอื่นๆ ทั้งที่เป็นวิชาชีพประเภท “สอบใบรับรองคุณวุฒิ” ทำให้ต้องไปหวังกับ “ทิป” และการที่จะได้ทิปมากๆ โดยเฉพาะกับ “ลูกค้าชาย” ย่อมหนีไม่พ้น “เรื่องเพศ”ไม่มากก็น้อย
แต่ไม่ว่าจะ “นวดอย่างเดียว” หรือ “นวดพ่วงนาบ” การนวดแผนไทยก็เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เห็นได้จากคำว่า “Thai Massage” หรือร้านที่มีบริการนวดแผนไทยผุดขึ้นเป็นจำนวนมากในทุกๆ ย่านของไทยที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติไปรวมตัวกันอยู่ และรวมถึงการ “บินลัดฟ้า” ไปทำงานไกลถึงต่างแดน แม้จะรู้ดีว่าในบางประเทศนั้น “เสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมาย” รวมถึงอาจตกเป็นเหยื่อ“ค้ามนุษย์” ก็ตาม
ที่งานประชุมเชิงปฏิบัติการ “สถานการณ์การย้ายถิ่นข้ามชาติ องค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการและการคุ้มครองดูแลคนไทยในต่างประเทศ” ซึ่งจัดโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล สมาน เหล่าดำรงชัย นักวิจัยอาวุโส ศูนย์วิจัยการย้ายถิ่นแห่งเอเชีย สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า แม้งานนวดนั้นจะเป็น “อาชีพสงวน” สำหรับคนพิการในประเทศ เกาหลีใต้ แต่ด้วยความต้องการที่สูง ทำให้มีการ “ลักลอบ”นำคนไทยไปทำงานเป็นจำนวนมาก
โดยเท่าที่เคยสอบถามพบว่า “ค่าจ้างนวดที่เกาหลีใต้ ตกอยู่ที่ขั้นต่ำเดือนละ 3 หมื่นบาท แต่สำหรับผู้ที่ลักลอบค้าประเวณีด้วย เดือนหนึ่งอาจได้เงินมากกว่า 1 แสนบาท” ส่วนวิธีการลอบเข้าไปทำงานในเกาหลีใต้ที่พบได้บ่อยๆ คือ “โดดทัวร์” ด้วยความที่แดนกิมจินั้นมีข้อตกลงกับสยามประเทศว่า “คนไทยไปเกาหลีใต้ไม่ต้องขอวีซ่าล่วงหน้า และอยู่ได้นาน 90 วัน” ทำให้ง่ายต่อการเดินทาง พอไปกับบริษัทนำเที่ยว เมื่อสบโอกาสก็ “หนี” ออกไปทำงาน
สมาน กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ยังมี “นายหน้า” ทั้งชาวไทยและชาวเกาหลีใต้ในหลายรูปแบบ เช่น บริษัทจัดหางานและฝึกอาชีพ หรือบริษัทที่ให้บริการ “หาคู่” แต่เป็นเพียงการ“แต่งงานหลอกๆ” เพื่อพาหญิงไทยเข้าไปทำงาน ซึ่งแม้ทางการไทยจะประชาสัมพันธ์เป็นระยะๆ ว่า “อาชีพนวดในเกาหลีใต้ไม่ใช่อาชีพถูกกฎหมายสำหรับแรงงานต่างด้าว” แต่ไม่อาจทานกระแสโฆษณาชวนเชื่อ “งานดีรายได้สูง” และหากนายจ้างพอใจยังจะได้ต่อสัญญาเรื่อยๆ ทั้งนี้กลุ่มนายหน้ายัง “ฝึกฝน” วิธีการเอาตัวรอดจากด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) เกาหลีใต้ให้อีกต่างหาก
“ที่แปลกใจมาก คือในร้านนวดจะมีการโชว์ใบรับรองคุณวุฒิของพนักงานนวดแต่ละคน ผมถามคนไทยที่ทำงานนวดในเกาหลีใต้ว่าเอามาจากเมืองไทยหรือ? เขาตอบว่าไม่ใช่ แต่นายจ้างที่เกาหลีใต้ทำขึ้นมา แล้วมีลายเซ็นของเจ้าหน้าที่ด้วย ผมก็สงสัยว่าแล้วต้องทดสอบฝีมือที่นี่ด้วยหรือ? เขาก็บอกไม่รู้เหมือนกัน คืออยู่ดีๆ ไม่กี่อาทิตย์ก็เอามาแปะ พอผมไปถามนายจ้าง เขาก็บอกว่าทำแบบนี้มาตลอด เพราะในเกาหลีใต้การไปนวดแผนไทยแม้จะผิดกฎหมายแต่ก็ต้องมีใบรับรองคุณวุฒิ” สมาน ระบุ
ขณะที่ ผศ.ดร.ศิริจิต สุนันต๊ะ ประธานหลักสูตรปริญญาเอก สาขาวิชาพหุวัฒนธรรม (นานาชาติ) สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งศึกษาชีวิตของหญิงไทยที่ไปเป็นพนักงานนวดในประเทศ อังกฤษ ระบุว่า หญิงไทยไม่ว่าตอนอยู่เมืองไทยจะมีพื้นเพอย่างไร เมื่อไปอยู่ในอังกฤษมักจะไปกระจุกตัวอยู่ในธุรกิจนวดแผนไทยเสียมาก เพราะ “วุฒิการศึกษาที่คนไทยเรียนไปจากเมืองไทยศักยภาพมักไม่ถึงระดับจะไปแข่งขันหางานกับคนท้องถิ่น” ในงานประเภทที่เรียนมานั้นได้
อาจารย์ศิริจิต กล่าวต่อไปว่า แม้งานนวดในอังกฤษจะเป็นงานถูกกฎหมาย ได้รับความคุ้มครองด้านสิทธิแรงงาน จึงไม่สุ่มเสี่ยงต่อการถูกบังคับกดดันให้ค้าประเวณี แต่มีปัญหาคือ “อาชีพนวดในอังกฤษถูกจัดเป็นอาชีพระดับล่าง” เนื่องจากเกณฑ์การแบ่งตามกฎหมายเมืองผู้ดี ระบุว่า แรงงานที่ไม่ใช่อาชีพระดับล่าง “ต้องได้รับค่าจ้างมากกว่า 3 หมื่นปอนด์ หรือราว 1.32 ล้านบาทต่อปี” แต่งานนวดแผนไทยไม่สามารถจ่ายค่าจ้างให้เกินเกณฑ์นั้นได้
“มันก็คล้ายกับการตั้งกำแพงขึ้นมาอย่างหนึ่ง จริงๆ กระทบต่อกิจการของชาวต่างชาติไม่ใช่แค่ร้านนวด ร้านอาหารไทยเองก็โดนด้วย สมัยก่อนร้านอาหารไทยสามารถทำวีซ่าขอพ่อครัวแม่ครัวคนไทยไปทำงานที่อังกฤษได้ แต่พอมีกฎหมายนี้ออกมาก็กระทบกัน มันคือสถานการณ์ของประเทศปลายทางด้วย อย่างอังกฤษเราก็รู้ว่ามี Brexit ขนาดแรงงานใน EU เขายังไม่อยากรับเลย แล้วแรงงานเราเขาจะเอาหรือ? ถามว่าประเทศไทยจะทำอะไรได้ไหม? ในความเป็นจริงคงยาก เพราะเป็นพื้นที่ประเทศปลายทางเขาจะเปิดไม่เปิดแค่ไหน” อาจารย์ศิริจิต กล่าวทิ้งท้าย
อีกด้านหนึ่งยังมีกรณี พ.ร.บ.สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ.2559 ที่ห้ามคนเคยต้องโทษเป็นผู้จัดการหรือเป็นเจ้าของร้านนวดตลอดชีวิต ทั้งที่นวดแผนไทยเป็นวิชาชีพที่ กรมราชทัณฑ์ ส่งเสริมให้ผู้ต้องขังหญิงได้รับการฝึกอบรม นอกจากนี้เมื่อกวาดสายตาดูร้านนวดทั่วๆ ไป พบว่ามีไม่มากนักที่มีระบบค่าแรงขั้นต่ำ อาทิ “บางร้านมีค่าประกันมือวันละ 400 บาท” ซึ่งพนักงานจะไม่ต้องหวังกับทิปของลูกค้ามากเกินไปจนต้องนำเรื่องเพศเข้ามาบริการ
ความหวังที่จะเห็นอาชีพนวดแผนไทยหลุดจาก “โซนสีเทา” ขึ้นมาอยู่ “โซนสีขาว” ยังคงต้องรอต่อไป!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี