“สัตว์ที่ถูกล่า คือเสือดำ
...มันใกล้สูญพันธุ์เต็มทีแล้ว
แต่สัตว์ที่เป็นผู้ล่า คือไดโนเสาร์หลงยุค
...มันควรสูญพันธุ์ตายโหงตายห่าไปนานแล้ว
...แต่ยังเสือกมีอยู่”
โพสต์สั้นๆ แต่สะเทือนอารมณ์ของ นักแต่งเพลงชื่อดัง “ครูเป็ด” มนต์ชีพ ศิวะสินางกูร บนเฟซบุ๊คส่วนตัว “ครูเป็ด moncheep” ประณามกลุ่มคนที่เข้าไปลักลอบล่าสัตว์ป่าในพื้นที่ทุ่งใหญ่นเรศวร จ.กาญจนบุรี โดย 1 ในนั้นคือ นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหาร บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีรายงานข่าวว่าทั้งคณะรวม 4 คน ถูกจับกุมเมื่อเช้าวันที่ 6 ก.พ. 2561 ที่ผ่านมา
ในมุมหนึ่ง..เรื่องนี้กลายเป็น “ประเด็นร้อน” ในสังคมไทยอยู่ขณะนี้ ว่าท้ายที่สุดคำกล่าว “ทุกคนเสมอภาคต่อหน้ากฎหมาย” จะเป็นจริงหรือไม่? เพราะนี่คือ “เศรษฐีเบอร์ต้นๆ” ของเมืองไทย และประเทศนี้ก็รู้กันเป็นนัยอยู่แล้วว่า “ถ้าคุณมีเงิน-อำนาจ-บารมี..อะไรก็เกิดขึ้นได้” แม้จะจับได้พร้อมของกลางแบบ “เป๊ะๆ” ดังสำนวนโบราณที่ว่า “จับได้คาหนังคาเขา” ก็ตามที แต่อีกมุมหนึ่ง..โพสต์ของ “ครูเป็ด” ก็ไม่ใช่เพียงการ “ระบายอารมณ์” เท่านั้น เพราะในอดีตกาลนานมาแล้ว “การล่าสัตว์” ถือเป็น “กิจกรรมยามว่าง” ของผู้มีกำลังทรัพย์จริงๆ
บทความชุด “กำเนิดกฎหมายสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๐๓ และ กฎหมายอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔” ความยาว 6 ตอน ซึ่งเขียนโดย ธนพล สาระนาค ประธานชมรมอนุรักษ์อุทยานแห่งชาติ อ้างอิงหลักฐานเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับการล่าสัตว์เพื่อ “ความบันเทิง” ของมนุษย์ จนนำมาซึ่งกระแสตื่นตัวด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติ และมีการออกมาตรการทางกฎหมายในเวลาต่อมา อาทิ สรศัลย์ แพ่งสภา (2463-2552) นักเขียนสารคดีชั้นครูคนหนึ่งของไทย เคยบรรยายไว้ว่า
สรศัลย์ แพ่งสภา
ที่มา : http://www.lungkitti.com/product.detail_844932_th_5404206
“..ก่อนสงคราม (สงครามโลกครั้งที่ 2) เมืองไทยมีการล่าสัตว์เป็นปกติ ฝรั่งที่เข้ามารับราชการ ข้าราชการสถานทูต รวมทั้งพ่อค้าวานิช ต่างก็ออกป่าล่าสัตว์เป็นการพักผ่อนและคบค้าสมาคมกับพรานไทย การล่าสัตว์มีกฎเกณฑ์ที่พรานพึงปฏิบัติ แม้ไม่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร แต่อาศัยสัญญาสุภาพบุรุษเป็นหลัก พรานต้องให้โอกาสแก่สัตว์ที่บางครั้งก็กลับมาเป็นคู่ต่อสู้ระหว่างกันให้ชัดว่าจะล่า เสือ กระทิง วัวแดง หรือตัวอะไร ไม่ใช่ยิงเป็นพรานอาชีพยิงเนื้อขาย
พรานกีฬาต้องการขนาดความสูง ความยาว หัว และเขา มาเปรียบเทียบในกลุ่มพรานด้วยกัน เข้าป่าแล้วไม่ได้ยิงอะไรก็ไม่เสียหาย พรานใหญ่หลายท่านตลอดชีวิตท่องไพรไม่มีท่านใดที่ล่าสัตว์ใหญ่อย่างกระทิง วัวแดง เกินสามตัว ส่วนใหญ่จะเพียงตัวเดียว ที่ยิงเกินหนึ่งตัวก็เพราะพบว่าขนาดใหญ่กว่าตัวแรก ความสุขสนุกสนานแท้จริงนั้นอยู่ที่ได้เที่ยวป่า ประเภทเข้าป่าเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศและมีเวลาจำกัดมักจะขออยู่นอกวงการแข่งขัน
แต่ท่านเคารพกฎเกณฑ์หลีกเลี่ยงตัวเมียและลูกน้อย ระมัดระวังจำนวนสัตว์เล็กที่นำมาเป็นอาหาร และประเภทหอบปืนเหล้ายาปลาปิ้งตั้งปางพักแบบพิถีพิถันเอาสบายและตั้งวงสุราครื้นเครงกลางป่า แต่ส่งปืนกับกระสุนให้พรานเจ้าของถิ่นไปหาเนื้อ โดยมากพรานจะหามเก้งกวางตัวสองตัวมาพอกินเท่านั้น นอกจากจะขออนุญาตยิงมากกว่านั้นเพื่อเอาไปให้พวกบ้าน..”
แต่ค่านิยมการล่าสัตว์ได้เปลี่ยนไปตั้งแต่ปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 (2482-2488) อาทิ เรื่องเล่าจาก นพ.บุญส่ง เลขะกุล (2450-2535) คุณหมอผู้บุกเบิกงานอนุรักษ์ธรรมชาติในสังคมไทย ระบุว่า หลังสงครามยุติ อาวุธ พาหนะ และอุปกรณ์ที่เคยถูกใช้ในการรบราฆ่าฟันระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ถูกนำมา “เลหลัง” ขายกันในราคาถูกๆ ซึ่งสิ่งของเหล่านี้ได้กลายไปเป็นเครื่องมือประหัตประหารชีวิตสัตว์ป่านานาชนิด แถมเป็นการ “ยิงเอามันส์” ไม่ใช่การล่าแบบมีธรรมเนียมมีมารยาทอย่างยุคก่อนหน้า จนสัตว์ป่าที่มีอยู่มากในป่าหายไปเกือบหมดสิ้น โดย นพ.บุญส่ง บรรยายไว้ว่า
นพ.บุญส่ง เลขะกุล (บนปกนิตยสาร Asiaweek)
ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/บุญส่ง_เลขะกุล
“..ปลายสงคราม ไทยได้ซื้อรถจี๊ปเข้ามาใช้กันมาก การท่องเที่ยวเข้าป่าสะดวกขึ้น เกวียนเคยไปได้ถึงไหน รถเหล่านี้ก็ไปถึงที่นั่น หาซื้อปืนดีๆ ได้ง่ายขึ้น นักล่าสัตว์สมัยใหม่ชอบซื้อรถจี๊ปเล็กแล้วใช้สป๊อทไลท์ส่องยิงสัตว์ เป็นวิธีที่ง่ายและไม่มีอันตราย ทั้งไม่เหนื่อยกาย คืนหนึ่งส่องยิงเรื่อยไปได้ระยะทางหลายสิบกิโลเมตร ยิงอย่างไม่เลือกว่าจะเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย ลูกเล็กเด็กแดงก็ยิงกันไม่เลือก
เพราะการส่องไฟยิงมักจะเห็นแต่ดวงตา แล้วช่วยกันยิงสุ่มเข้าไปคราวละหลาย ๆ กระบอก โดยไม่ต้องรู้ว่าตัวผู้หรือตัวเมีย เป็นสัตว์ตัวใหญ่หรือลูกเล็กเด็กแดง และบางครั้งยิงโดยไม่ต้องรู้ว่าเป็นสัตว์อะไร สุนัขบ้าน แมวบ้าน วัวเกวียนและควายบ้านถูกยิงบ่อย ๆ ยิงกันอย่างไม่จำกัดจำนวน ได้เท่าไรก็ยกขึ้นรถแล้วก็ส่องยิงกันเรื่อยไป หากยิงไม่ล้มลงตายคาที่ มักจะตามไปไม่ได้เพราะเป็นเวลากลางคืน สัตว์ส่วนมากจึงมักวิ่งหนีไปตายและเน่าไป
นักล่าสัตว์ที่ร่ำรวยบางคน ยิงจนเหลือกินถึงกับนำมาขายเป็นเงินเข้ากระเป๋า กีฬาล่าสัตว์ซึ่งเคยมีกติกา มีมารยาท และมีวินัย จึงถูกทำลายหมดไป กลายเป็นฆาตกรรมทำลายหรือสลอตเตอริง (Slaughtering) อย่างน่าขายหน้า ยิ่งกว่านั้นการล่าสัตว์ในตอนหลังยังร้ายแรงขึ้นจนถึงกับเป็นการแข่งขันกันทำลาย เอาจำนวนสัตว์ที่ยิงได้ในวันหนึ่ง ๆ มาอวดคุยกัน แล้วยึดถือกันว่าเป็นสถิติความเก่งกล้าของตน สัตว์ป่าจึงถูกทำลายหนักขึ้นกว่าเดิม.."
จากวิกฤติที่เกิดขึ้น นพ.บุญส่ง และกลุ่มคนที่เห็นพ้องต้องกันในนาม “นิยมไพรสมาคม” พยายามผลักดันประเด็นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษที่ 2490s เป็นต้นมา จนมาสำเร็จในยุคสมัยของนายกรัฐมนตรี จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในปี 2503 หรือก็คือกฎหมาย พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2503 และได้ใช้มาเป็นเวลา 32 ปี ก่อนจะเปลี่ยนเป็นกฎหมายใหม่คือ พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ซึ่งเป็นฉบับที่มีผลบังคับใช้มาจนถึงปัจจุบัน
เรื่องนี้สอดคล้องกับที่ ศศิน เฉลิมลาภ เลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวเว็บไซต์ นสพ.ไทยรัฐ ว่าแม้พอทราบบ้างเรื่องค่านิยมของคนร่ำคนรวยในสมัยก่อนนิยมเข้าป่าล่าสัตว์ แต่ในระยะ 10 ปีล่าสุดไม่เคยเจอแต่อย่างใด กระทั่งมาเกิดกรณีนายเปรมชัยและคณะดังกล่าว อย่างไรก็ตามผู้ที่มีค่านิยมนี้ปัจจุบันน่าจะมีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป และกรณีนี้อาจเป็นรายสุดท้ายก็ได้ เพราะคนอื่นๆ ก็คงหมดไปแล้ว
หรือเรียกง่ายๆ ว่าใครที่ยังชื่นชอบกิจกรรมชนิดนี้อยู่..ก็ถือเป็น “คนหลงยุค” โดยแท้!!!
-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-
หมายเหตุ : อ่านบทความชุด “กำเนิดกฎหมายสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๐๓ และ กฎหมายอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔” ฉบับเต็มทั้ง 6 ตอนได้ที่
http://www.boonsongbirdguide.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539917696 ตอนที่ ๑.สภาพสัตว์ป่าเมืองไทยในอดีต
http://www.boonsongbirdguide.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539917912 ตอนที่ ๒. กำเนิดนักนิยมไพร : น.พ. บุญส่ง เลขะกุล
http://www.boonsongbirdguide.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539917991 ตอนที่ 3. นายแพทย์นักธรรมชาติวิทยา : น.พ.บุญส่ง เลขะกุล
http://www.boonsongbirdguide.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539918072 ตอนที่ ๔. กำเนิดนิยมไพรสมาคม สมาคมอนุรักษ์ธรรมชาติแห่งแรกของเมืองไทย
http://www.boonsongbirdguide.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539918090 ตอนที่ ๕. การเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการคุ้มครองสัตว์ป่า
http://www.boonsongbirdguide.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539918118 ตอนที่ ๖.กำเนิดกฎหมายสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า และกฎหมายอุทยานแห่งชาติ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
http://www.naewna.com/likesara/319211 'ไดโนเสาร์'ล่า'เสือดำ' ครูเป็ดแดกดัน'เศรษฐี'สมองตกยุค
https://www.thairath.co.th/content/1197253 เจาะเป้าหมายนักล่า เดินเข้าป่าฆ่าสัตว์ทุ่งใหญ่ฯ ค่านิยมคนหลงยุค
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี