เป็นข่าวดังระดับโลกกับการจับกุม โฮเซ มาเรีย กิซาร์ วาเลนเซีย (Jose Maria Guizar Valencia) หรือชื่อรหัสว่า "Z43" สมาชิกระดับแกนนำของ "ลอส เซตัส" (Los Zetas) แก๊งค้ายาเสพติดชื่อดังของเม็กซิโก โดยจับกุมได้ตั้งแต่วันที่ 8 ก.พ.2561 ที่ผ่านมา ณ กรุงเม็กซิโก ซิตี้ เมืองหลวงของเม็กซิโก เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่า แก๊งลอส เซตัส เป็น 1 ในบรรดาแก๊งค้ายาเสพติดรายใหญ่ของประเทศ และเม็กซิโกนั้นถูกระบุว่าเป็น "ต้นทาง" ของยาเสพติด ที่มีปลายทางคือ สหรัฐอเมริกา ดังจะเห็นจากข่าวและภาพยนตร์อยู่เนืองๆ
(ภาพเล็ก) โฮเซ มาเรีย กิซาร์ วาเลนเซีย (Jose Maria Guizar Valencia) 1 ในแกนนำแก๊งค้ายาเสพติด “ลอส เซตัส” (los Zetas) ของเม็กซิโก
ที่มา : http://www.naewna.com/inter/319842
หากมองย้อนไปในประวัติศาสตร์ เม็กซิโกนั้นมีภาพเป็น "แดนเถื่อน" สำหรับชาวอเมริกันมานานแล้ว อาทิ ในยุคสมัยที่สหรัฐฯ มีกฎหมาย "ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์" ระหว่างปี 2463-2476 เม็กซิโกก็ถูกระบุว่าเป็นแหล่งจัดหาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่งต่อให้กับเครือข่ายค้าเหล้าเถื่อนในสหรัฐฯ นำไปจำหน่ายต่อ ส่วนการเป็นศูนย์กลางแพร่กระจายยาเสพติดนั้น เกิดขึ้นช่วยปลายทศวรรษที่ 1960’s (ปี 2503-2512)
เม็กซิโกนั้นเป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นแหล่งผลิตกัญชาและเฮโรอีนที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก สำนักข่าว Mexico News Daily ซึ่งนำเสนอข่าวสารของประเทศเม็กซิโกเป็นภาษาอังกฤษ เคยนำเสนอรายงานพิเศษเรื่อง “Mexico remains No. 3 opium poppy producer” ในเดือน มิ.ย. ปี 2560 อ้างอิงข้อมูลจาก สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) เม็กซิโกนั้นมีจำนวน “ไร่ฝิ่น” ถึง 26,100 เฮกตาร์ หรือประมาณ 1.56 แสนไร่ เป็น “อันดับ 3 ของโลก” เป็นรองเพียงรองอัฟกานิสถานและเมียนมา (พม่า) เท่านั้น
พาโบล เอสโคบาร์ (Pablo Escobar)
ที่มา : https://en.wikipedia.org/wiki/Pablo_Escobar
แต่ยาเสพติดที่ทำให้เม็กซิโกมีชื่อเสียง (ในแง่ลบ) จริงๆ คือ "โคเคน" นั้นจุดเริ่มต้นมาจากความร่วมมือระหว่างเจ้าพ่อยาเสพติดชาวโคลัมเบีย พาโบล เอสโคบาร์ (Pablo Escobar) กับเครือข่ายยาเสพติดในเม็กซิโก ช่วงทศวรรษที่ 1970s (2513-2522) ถึงทศวรรษที่ 1980’s (2523-2532) ในการขนส่งโคเคนจากโคลัมเบียผ่านเม็กซิโกเข้าไปยังสหรัฐฯ ซึ่งในช่วงแรกๆ นั้นแก๊งโคลัมเบียจ่ายค่าจ้างแก๊งเม็กซิกันด้วยเงินสด แต่ในช่วงหลังๆ เปลี่ยนไปเป็นการจ่ายด้วยยาเสพติดแทน โดยได้ส่วนแบ่งร้อยละ 35-50 จากยาเสพติดทั้งหมด
ทำให้ในเวลาต่อมา แก๊งต่างๆ ในเม็กซิโกได้หันมาค้าโคเคนด้วยตนเอง มีการติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อให้ละเว้นการบังคับใช้กฎหมายกับกลุ่มตน และ “ยืมมือ” เจ้าหน้าที่รัฐจัดการกับแก๊งอื่นๆ ที่เป็นคู่แข่ง โดยการแข่งขันเพื่อขึ้นเป็นราชายาเสพติดของบรรดาแก๊งค้ายาเม็กซิกัน เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2532 หลัง มิเกล แอลเกล เฟลิกซ์ กัลลาร์โด (Miguel Angel Felix Gallardo) เจ้าพ่อโคเคนในเม็กซิโกถูกจับกุม และสถานการณ์ทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 หรือปี 2543 เป็นต้นมา
"เส้นทางลำเลียงยาเสพติดในเม็กซิโก" แบ่งเป็นโคเคน (สีแดง) เมทแอมเฟตามีนและกัญชา (สีเขียว) เอฟีดรา-เอฟีดริน (สีน้ำเงิน) และเส้นทางที่ใช้ร่วมกับของยาเสพติดทุกชนิด (สีเทา)
ที่มา : http://geo-mexico.com/?p=3536
รัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่าโคเคนจำนวนมากที่ทะลักเข้าสู่สหรัฐฯ นั้นร้อยละ 90 ผลิตในโคลัมเบีย (ตามด้วยโบลิเวียและเปรู) โดยมีเม็กซิโกเป็นเส้นทางหลักในการลำเลียง และแก๊งค้ายาเสพติดในเม็กซิโกควบคุมเส้นทางเหล่านี้ถึงร้อยละ 70 และนอกจากโคเคนแล้วกัญชาก็เป็นยาเสพติดอีกชนิดที่ทำรายได้ดี โดยจะลักลอบปลูกกันในพื้นที่สวนป่าและป่าไม้ ในปี 2549 ทางการเม็กซิโกสามารถยึดต้นกัญชาได้ 5.5 แสนต้น มูลค่าราว 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3.2 หมื่นล้านบาท อีกทั้งแก๊งค้ายาเม็กซิกันยังเป็นตัวแทนจำนวนเฮโรอีนในสหรัฐฯ ด้วย
สาเหตุที่ชาวเม็กซิกันจำนวนมากเข้าไปอยู่ในวังวนของยาเสพติดมาจาก “ความยากจน” และรัฐบาลไม่สามารถสร้างอาชีพสุจริตที่มีรายได้อย่างเพียงพอให้กับประชาชน โดยจำนวนผู้มีรายได้น้อยเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 17 ในปี 2547 เป็นร้อยละ 21 ในปี 2551 และกลุ่มที่เสี่ยงต่อภาวะยากจนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 35 ในปี 2549 เป็นร้อยละ 46 หรือราว 52 ล้านคน ในปี 2553
นอกจากนี้เม็กซิโกยังเป็น "อันดับ 2" ในประเด็น "ความเหลื่อมล้ำ" ของกลุ่มประเทศสมาชิก องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) โดยกลุ่มคนที่ยากจนที่สุดได้รับผลประโยชน์จากทรัพยากรของประเทศเพียงร้อยละ 1.36 ส่วนกลุ่มที่ร่ำรวยที่สุดได้รับมากถึงร้อยละ 36 ทว่างบประมาณแก้ไขปัญหาความยากจนของรัฐบาลเม็กซิโก กลับคิดเป็นสัดส่วนได้เพียง 1 ใน 3 ของเกณฑ์เฉลี่ย OECD เท่านั้น
"ซิวแดด ฮัวเรซ" (Ciudad Juarez) เมืองชายแดนเม็กซิโก-สหรัฐอเมริกา
ในปี 2555 มีการประมาณการว่าชาวเม็กซิกัน 4.5 แสนคนทำงานให้แก๊งค้ายาเสพติด และมีผู้ได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากยาเสพติดราว 3.2 ล้านคน ในจำนวนนี้บางเมืองเช่น ซิวแดด ฮัวเรซ (Ciudad Juarez) เมืองชายแดนเชื่อมระหว่างเม็กซิโกกับสหรัฐฯ เศรษฐกิจของเมืองกว่าร้อยละ 60 มาจากการทำธุรกิจผิดกฎหมาย อนึ่ง..นักวิเคราะห์จาก สภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) เคยตั้งข้อสังเกตว่า ในปี 2552 แม้รัฐบาลเม็กซิโกจะทุ่มงบประมาณถึงร้อยละ 5.3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เพื่อปฏิรูปการศึกษา
แต่ปัญหาสำคัญมาจาก สหภาพบุคลากรทางการศึกษาแห่งชาติ (SNTE) เครือข่ายครูและผู้บริหารสถาบันการศึกษาในเม็กซิโกที่ “ไม่ยอมรับระบบการสอบวัดผลแบบสากล” โดยให้เหตุผลว่า “เป็นการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม” ระหว่างเด็กๆ ชนชั้นกลางในเมือง กับเด็กๆ ยากจนในชนบท อีกทั้งยังเป็นการผลักภาระมาที่ครูเป็นหลัก แต่กลับละเลยบทบาทของกระทรวงศึกษาธิการ อันจะส่งผลให้เกิดการละเมิดสิทธิและการทุจริตทางการเมืองขึ้นได้ แน่นอนว่าประชากรที่ด้อยการศึกษาเหล่านี้ ท้ายที่สุดก็กลายเป็นแนวร่วมของแก๊งค้ายาเสพติดไปโดยปริยาย
จากรุ่นเก่าสู่รุ่นใหม่ : (ซ้าย) Osiel Cardenas Guillen หัวหน้าแก๊ง Gulf , (ขวา) Arturo Guzman Decena อดีตนายทหารที่ต่อมาจะกลายเป็นผู้ก่อตั้งแก๊ง Los Zetas
ที่มา :
https://en.wikipedia.org/wiki/Osiel_C%C3%A1rdenas_Guill%C3%A9n
https://en.wikipedia.org/wiki/Arturo_Guzm%C3%A1n_Decena
สำหรับแก๊งลอส เซตัส นั้นต้องย้อนประวัติไปในปี 2542 เมื่อ โอซิเอล คาร์นินาส กิลเลน (Osiel Cardenas Guillen) หัวหน้าแก๊ง "กัลฟ์-Gulf" (แปลว่า "อ่าว" ในภาษาไทย) แก๊งค้ายาเสพติดที่คุมพื้นที่ชายฝั่งตะวันออกของเม็กซิโก ได้ว่าจ้างให้ อาตูโร กุสมาน เดเซนา (Arturo Guzman Decena) หรือชื่อรหัส “Z1” อดีตทหารหน่วยรบพิเศษของกองทัพบกเม็กซิโก พร้อมลูกน้องรวม 30 คนให้มาเป็นกองกำลังคุ้มกันตนเอง โดยล่อใจด้วยค่าจ้างที่สูงกว่าเงินเดือนที่ได้จากกองทัพ
ในวันที่โอซิเอล ขยายอิทธิพลของตน กลุ่มลอส เซตัส ของอาตูโรได้กลายเป็นมือไม้สำคัญ พวกเขาทำทั้งการลักพาตัว ขู่กรรโชกทรัพย์ จัดหาและขนส่งโคเคน แต่ที่ทำให้กลุ่มดังกล่าวโด่งดังขึ้นมาเป็นเพราะการจัดการกับศัตรูด้วยวิธีการอันโหดร้าย อย่างไรก็ตาม ในปี 2545 อาตูโรถูกสังหารโดยกองทัพรัฐบาลเม็กซิโก ณ เมืองมาตาโมโรส (Matamoros) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ และเป็นเมืองชายแดนเม็กซิโก-สหรัฐฯ ส่วน โอซิเอล ถูกจับกุมในปี 2546 และถูกส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปยังสหรัฐฯ ในปี 2550 โดยถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 25 ปี
กลุ่มลอส เซตัส แยกตัวจากแก๊งกัลฟ์ มาตั้งแก๊งของตนเองอย่างเต็มตัวในปี 2550 ส่วนสาเหตุนั้นไม่เป็นที่ยืนยันชัดเจน มีข่าวลือต่างๆ นานา บ้างก็ว่าแก๊งกัลฟ์มองว่ากลุ่มลอส เซตัส ทำเกินเลยไปมาก กล่าวคือไม่ใช่เพียงธุรกิจยาเสพติดแต่ยังก้าวล่วงไปถึงการลักพาตัว ขู่กรรโชก ฆาตกรรมและโจรกรรม ซึ่งส่งผลกระทบต่อชาวบ้านทั่วๆ ไปด้วย แต่ทางกลุ่มลอส เซตัส ยืนยันว่าการฆาตกรรมและลักพาตัวที่กลุ่มตนทำนั้นเป็นคำสั่งจากทางแก๊งกัลฟ์ทั้งสิ้น หรือบ้างก็ว่าเป็นการแย่งชิงกันขึ้นเป็นใหญ่ในแก๊งกัลฟ์หลังโอซิเอลถูกจับกุม หรืออาจเป็นเรื่องการหาพันธมิตรในธุรกิจมืด
"Hola DEA" ศีรษะของชายที่ถูกระบุว่าเป็น "สายของทางการ" ในที่นี้คือ DEA หรือสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งสหรัฐอเมริกา (เทียบเท่า ป.ป.ส. ของไทย) ถูกนำมาวางบนหลังเต่า ถ่ายภาพแล้วเผยแพร่เป็นข้อความข่มขู่จากแก๊งค้ายาเสพติดไม่ให้ใครริอาจแจ้งเบาะแส
ที่มา : http://www.ronsonduncan.com/WHO-ARE-THE-LOS-ZETAS-.html
รัฐบาลสหรัฐฯ จัดให้แก๊งลอส เซตัส เป็น "องค์กรอาชญากรรมที่อันตรายที่สุดของเม็กซิโก" ทั้งการทำธุรกิจมืดที่ขยายไปในหลายวงการทั้งยาเสพติด ค้ามนุษย์ ค้าอาวุธปืนเถื่อน แต่ที่ชาวโลกสัมผัสได้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของแก๊งนี้มากที่สุด คือการสรรหาสารพัดวิธีที่ "โหดอำมหิตเกินมนุษย์" มาใช้ทรมานและฆ่าเป้าหมายเพื่อเป็นการเยาะเย้ยและข่มขวัญแก๊งอื่นๆ ที่เป็นคู่แข่งของตน โดยเฉพาะแก๊ง "ซิโนลัว" (Sinoloa) ซึ่งแผ่อิทธิพลอยู่ทางภาคตะวันตกของเม็กซิโก ขณะที่ลอส เซตัส นั้นมีอาณาเขตอยู่ทางภาคตะวันออก
อนึ่ง..นอกจาก 2 แก๊งใหญ่อย่างลอส เซตัส และซิโนลัวแล้ว ในเม็กซิโกยังเต็มไปด้วยแก๊งค้ายาเสพติดอีกหลายกลุ่ม และการปะทะกันระหว่างแก๊งต่างๆ หลายครั้งได้ส่งผลกระทบต่อประชาชนทั่วไปที่ไม่เกี่ยวข้อง ท้ายที่สุดแม้กระทั่งชาวบ้านหาเช้ากินค่ำก็ต้อง "จับอาวุธป้องกันตนเอง" เรียกว่า "วิจิลันเตส" (Vigilantes) ตั้งแต่การตั้งด่านตรวจตามชุมชนไปจนถึงการออกล่าหัวแกนนำของกลุ่มแก๊งอาชญากรรมทั้งหลาย และบางครั้งมีความขัดแย้งถึงขั้นมีเรื่องมีราวกับเจ้าหน้าที่ทางการ เนื่องด้วย "หมดศรัทธา" ต่อกลไกของรัฐที่ไม่สามารถปกป้องดูแลพวกเขาได้
"เขตอิทธิพล" พื้นที่ครอบครองของแก๊งต่างๆ ในเม็กซิโก
ทั้งนี้เม็กซิโกนั้นเป็นประเทศที่มีปัญหาการทุจริตอย่างมาก ข้อมูลจาก องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International: TI) ซึ่งออกรายงาน "ดัชนีคอร์รัปชั่น" ของประเทศต่างๆ ทุกปี โดยรายงานของปี 2559 (เผยแพร่ 25 ม.ค. 2560) เม็กซิโกมีอันดับความโปร่งใสอยู่ที่ 123 จากทั้งหมด 176 ประเทศ ได้คะแนนเพียง 30 จากเต็ม 100 คะแนน (ส่วนไทยนั้นอยู่ที่อันดับ 101 ได้ 35 คะแนน)
"ความเท่าเทียม?" ตำรวจเม็กซิโก (ซ้ายบน) ทหารเม็กซิโก (ขวาบน) แก๊งค้ายาเสพติดเม็กซิโก (ซ้ายล่าง) และชาวบ้านในเม็กซิโก (ขวาล่าง) ทุกฝ่ายมีอาวุธสงครามครบมือ
ที่มา :
https://www.wsj.com/articles/mexico-confronts-cartelfighting-militias-1389747285
ด้วยภาวะความยากจนและการทุจริตในภาครัฐ หนทางของชาวเม็กซิกันจึงมีไม่มากนัก กล่าวคือหากไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ก็ต้อง "หนีไปตายเอาดาบหน้า" ด้วยการลักลอบข้ามพรมแดนเข้าไปหางานทำในสหรัฐฯ สวนทางกับการมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ทั้งน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ แร่มีค่าหลายชนิด รวมถึงมีสถานที่ท่องเที่ยวทั้งเชิงธรรมชาติและเชิงวัฒนธรรม จึงไม่ผิดนักหากจะบอกว่านี่เป็นชะตากรรมที่ "โหดร้าย" ราวกับถูกสาป
และยังไม่รู้ว่า..จะความโหดร้ายนี้จะจบลงเมื่อใด!!!
ขอบคุณข้อมูลจาก
https://en.wikipedia.org/wiki/Mexican_Drug_War
https://mexiconewsdaily.com/news/mexico-remains-no-3-opium-poppy-producer/
https://en.wikipedia.org/wiki/Los_Zetas
https://www.theatlantic.com/photo/2014/05/mexicos-vigilantes/100734/
http://www.thailatinamerica.net/mexico/index.php/comunidad-thai/tourism-mex-menu/281-thai-gen-info
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี