“หนูตัดสินใจไม่มีลูกเพราะเห็นว่ามีภาระต้องดูแลพ่อแม่ที่อายุเริ่มมากขึ้น แล้วถ้ามีลูกด้วยคิดว่าทำให้จะดูแลเค้าได้ไม่ดี”
“เราก็ก้มหน้าก้มตาเรียนตรี โท เอก เงยหน้ามาอีกทีก็หาใครมาเป็นแฟนไม่ได้ พอมาอยู่ที่ทำงานก็มีแต่ผู้หญิง ไม่ค่อยได้เจอผู้ชาย โอกาสที่จะมีแฟนก็ยากเข้าไปอีก”
เรื่องเล่าจากการประชุม “เวทีสานพลังเพื่ออนาคตประเทศไทย : ยุคเด็กเกิดน้อย สังคมสูงวัย” เปิดประเด็นโดย ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ประธานคณะกรรมการสนับสนุนการพัฒนานโยบายรองรับสังคมสูงวัย ว่าด้วยสังคมไทยก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย แต่เด็กเกิดน้อยลงทุกปี “โดยในปี 2555 มีเด็กเกิดใหม่ ประมาณ 7.8 แสนคน แต่ในปี 2559 พบว่าการเกิดลดลงเหลือ 6.6 แสนคน” และคาดว่าในปี 2583 จะมีเด็กเกิดใหม่เพียง 5 แสนคน
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ซึ่งหากย้อนไปดูผลการสำรวจของ สถาบันวิจัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า ทัศนคติของสตรีไทยในการแต่งงานและมีลูกเปลี่ยนไปจากเมื่อ 15 ปีก่อนอย่างเด่นชัด “ในปี 2559 ผู้หญิงบอกว่าไม่ต้องมีลูกก็สามารถมีชีวิตที่น่าพอใจได้ร้อยละ 75 ในขณะที่ในปี 2544 เห็นด้วยคำกล่าวนี้เพียงร้อยละ 53 เท่านั้น” ที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้น คือ พบว่าหญิงไทยมีลูกคนแรกอายุเฉลี่ย 23.5 ปี และมีแนวโน้มมีบุตรยากถึงเกือบร้อยละ 16
แต่ประเด็นสำคัญของปริมาณที่น้อยลงนั้น ทำอย่างไรจะทำให้เด็กที่เกิดมามีคุณภาพ ได้รับการดูแลให้เติบโตเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่ดีของสังคมไทยด้วย จากสถานการณ์ทางประชากรดังกล่าว ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและนักวิชาการต้องตั้งวงถกเพื่อเสนอนโยบายจูงใจให้ครอบครัวที่มีความพร้อมให้มีบุตรได้ ผู้เข้าร่วมประชุมได้สะท้อน “9 ข้อเท็จจริง” ที่ทำให้คนรุ่นใหม่ที่พร้อมแต่ไม่มีลูก ได้แก่
1.เรียนเยอะ เรียนหนัก เรียนนาน บางคนเข้าทำนอง “รักไม่ยุ่งมุ่งแต่เรียน” พอจบปริญญาตรีก็เรียนต่อปริญญาโทตามด้วยปริญญาเอก กว่าจะจบได้เป็นดอกเตอร์สมใจแล้วก็ต้องใช้เวลาในการหาคนคู่ครองอีกสักพัก แต่พอแต่งงานแล้วมักเหลือเวลามีลูกอาจน้อยมาก ทำให้ตัดสินใจไม่มีลูก หรือมีได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ในขณะที่บางคนก็อาจจะหมดโอกาสที่จะมีคู่ อาทิ มีผู้หญิงไม่น้อยเลยที่ยอม “ขึ้นคาน” อยู่เป็นโสด
2.รอพร้อมจนแก่ หลายคนคิดว่า“หากจะมีลูกต้องให้มีความพร้อมก่อน” จึงทำงานหนักเก็บเงินซื้อบ้าน ซื้อรถ สร้างฐานะทางการเงินให้มั่นคง เพื่อสร้างความสุขสบายให้กับลูก “แต่เมื่อมีทุกอย่างพร้อมวัยก็ล่วงเลยมาก” เช่น บางคนจึงเกิดภาวะมีบุตรยากบางคนด้วยอายุมากขึ้นเกิดความกลัวว่าลูกที่เกิดมาจะมีปัญหา และบางคนอาจมีได้เพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะหากมีคนที่ 2 อาจเสี่ยงอันตรายทั้งแม่และลูก
3.ก้มหน้าทำงาน หลายคนทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับงานจนไม่สนใจเรื่องอื่นๆ รวมถึงเรื่องความรัก ทำให้ไม่มีโอกาสที่จะมีคู่และหากสภาพแวดล้อมของที่ทำงานมีแต่เพศเดียวกัน ยิ่งทำให้การพบคนที่ใช่ยิ่งยากมากขึ้น 4.ค่าใช้จ่ายสูง ดังที่มีคำกล่าวว่า“มีลูก 1 คนจนไปหลายปี” 7 ปีบ้าง 10 ปีบ้างหรือ 20 ปีก็ว่ากันไป จากค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ค่าเล่าเรียน และอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้ต้องคำนวณอย่างรอบคอบ และบางคนตัดสินใจไม่มีลูกดีกว่า
5.ความเครียดสร้างปัญหา มีข้อค้นพบว่าความเครียดทำให้ผู้หญิงส่วนหนึ่งไข่ตกไม่ตรงตามเวลา และทำให้ผู้ชายจะมีสเปิร์มที่ไม่แข็งแรงพอ ดังนั้นคู่ที่แต่งงานแล้วมีความเครียดสูงโอกาสที่จะมีลูกก็จะน้อยลงไปด้วย 6.ระยะทางเป็นอุปสรรค การเดินทางจากบ้านถึงที่ทำงานที่ห่างกันมากส่งผลให้ต้องใช้ชีวิตอยู่ในรถเป็นระยะเวลายาวนาน ทำให้ครอบครัวมีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยทั้งนี้เคยมีการสำรวจพบว่าการมีที่พักใกล้กับที่ทำงาน ส่งผลให้คู่ที่แต่งงานมีโอกาสมีลูกได้มากขึ้น
7.พ่อแม่ก็ต้องเลี้ยง สังคมสูงวัยทำให้มีพ่อแม่ที่แก่เฒ่าที่คนวัยทำงานต้องดูแล บางคนมีทั้งพ่อทั้งแม่ที่อายุมาก ดังนั้นการตัดสินใจจะมีลูกหรือไม่ ปัจจัยหนึ่งที่สำคัญคือ “การจัดการของแต่ละครอบครัวที่มีคนสูงวัยอยู่ด้วย จะสามารถดูแลให้ดีทั้งพ่อแม่และลูกตัวเองได้อย่างไร” ทำให้บางคู่ตัดสินใจไม่มีลูก 8.ขาดคนเลี้ยงดู ประเด็นใหญ่ของการตัดสินใจมีลูกของคู่ที่แต่งงานแล้ว คือ หากมีลูกแล้วจะให้ใครมาช่วยเลี้ยง ถ้าพ่อแม่แต่ละฝ่ายอายุมากดูแลให้ไม่ไหว หาคนเลี้ยงก็แสนยาก จะฝากศูนย์เลี้ยงเด็กก็ไม่ไว้ใจ
และ 9.ถึงอยากมีแต่ไม่มา จากข้อมูลพบว่าสตรีไทยถึงร้อยละ 16 มีปัญหาการมีบุตรยาก แม้จะมีความพร้อมทุกด้านแล้วแต่พยายามหลายครั้งก็ไม่สามารถมีลูกได้ดังนั้นจึงต้องพึ่งพาหมอ ซึ่งปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ดีขึ้น ค่าใช้จ่ายถูกลงกว่าเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาแต่ก็ไม่ง่ายอยู่ดี
จากทั้ง 9 ข้อนี้ หลายประเทศก็มีมาตรการที่แตกต่างกันไป เช่น บางประเทศกำหนดนโยบายส่งเสริมให้คนแต่งงานเร็วขึ้น มีนโยบายส่งเสริมให้หนุ่มสาวโสดมีโอกาสได้พบกัน หรือส่งเสริมสังคมแบบ “Work & Life Balance” มีความสมดุลระหว่างการใช้ชีวิตและการทำงานให้มากขึ้น หรือบางหน่วยงานในบางประเทศ ใช้วิธีสร้างที่พักให้พนักงานซื้อในราคาไม่แพงมากและผ่อนชำระได้ เพื่อลดระยะเวลาการเดินทางให้น้อยลง ทำให้มีเวลากับครอบครัวมากขึ้น ซึ่งเคยมีการสำรวจพบว่าการมีที่พักใกล้กับที่ทำงาน คู่แต่งงานจะมีโอกาสมีลูกมากขึ้นด้วย
บางตัวอย่างที่น่าสนใจ เกาหลีใต้ ประเทศที่มีอัตราการเกิดน้อยและเข้าสู่สังคมสูงวัยเช่นกัน รัฐบาลแดนกิมจิก็ออกหลายมาตรการมารองรับ เช่น ให้เงินอุดหนุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดูแลและเลี้ยงดูบุตรโดยตรง ให้ผลประโยชน์ทางภาษี ผลประโยชน์ด้านบำนาญ และเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย รวมถึงสนับสนุนให้คนทำงานสามารถเลี้ยงลูกได้พร้อมๆ กัน เพิ่มสถานรับเลี้ยงเด็ก เพิ่มระยะเวลาการกำหนดวันลาคลอดและเลี้ยงดูบุตรสำหรับพ่อและแม่
อย่างไรก็ตาม วงเสวนาแบบนี้ยังคงต้องมีต่อไปอีกหลายครั้ง เนื่องจากยังออกแบบนโยบายระดับกว้างไม่ชัด “ปัจจัยเงื่อนไขของแต่ละคนที่แตกต่างกันมาก” การจะจูงใจให้คนมีลูกคงไม่อาจทำแต่การให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ ให้กับพ่อแม่เพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีปัจจัยเชิงพฤติกรรมอีกมากที่ต้องขบคิด และอาจต้องมีการวิจัยเพื่อเข้าใจพฤติกรรมของคนแต่ละช่วงวัยที่มีทัศนคติต่อการมีลูกให้ชัดขึ้นจึงจะนำไปสู่การออกแบบนโยบายที่ดีได้ “ภายใต้การทำงานแข่งกับเวลา” ที่จะต้องเร่งมีนโยบายที่สำคัญเพื่อให้เด็กที่เกิดมาแม้จะน้อยแต่ต้องมีคุณภาพให้ได้
ในสถานการณ์ประชากรที่คาดว่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้าประเทศไทยจะมีผู้สูงอายุเพิ่มเป็นร้อยละ 20 ซึ่งเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบแล้ว!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี