ในอินเดียฉันไม่เห็นอะไร ไม่เห็น ขอทาน อินเดีย.. ที่ฉันเห็น มีเพียงคนบ้าคนหนึ่งที่กำลังเดินทางไม่หยุดหย่อน Shai Don King
|
ฝ่าเปลวแดดอันร้อนอ้าว ฝ่าฝูงดงสิบล้อมหันตภัย
ฝ่ารถวิ่งข้ามตัดถนนไปหน้าตาเฉย
ฝ่าฝูงวัว ฝูงควาย ฝูงแพะ แล้วแต่จะมา แล้วแต่จะไป!
.
คุณเข้าใจใช่มั้ย มันเป็นอะไรที่ยากเกินจะเดาใจ
555555555555555555555555555
อินเดีย
แผ่นดินพิเศษที่มีถนนเฉพาะกิจไว้ "ปราบเซียน" อย่างแท้จริง !
.
ไม่มีเวลาให้กระพริบตา !!
.
เปิดคันเร่งบิดไปตามถนน 4 เลนส์อยู่ดี ๆ ระหว่างกลางมีเกาะกลางถนนกั้น
ดูเรียบร้อย งามตาอย่างอารยะประเทศ
.
แต่บางทีรถพี่สิบล้อ นึกอยากจะผ่าก็ผ่า
ขับสวนเลนส์มาหน้าตาเฉย
.
เรื่องความเร็ว ไม่ต้องชะลอ พี่เค้าก็ไปของเค้าอย่างสบายใจ
ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมอะไรทั้งนั้น
.
แต่ที่เจ็บไปกว่านั้นก็คือ
บางทีพี่ก็สวนเลนส์มาทางซ้าย บางทีพี่ก็สวนเลนส์มาทางขวา
.
เดาใจไม่ถูก!!
ทางเรียบๆ ดีๆ แท้ๆ แต่ทำให้ละสติไม่ได้เลย
ตลอดเส้นทางในอินเดียเป็นเช่นนี้้้
นับเป็นบุญกรรม และ ขวัญตาแท้ๆ ที่ได้มามีโอกาสพบเห็นสิ่งเหล่านี้
การขี่รถในถนนประเทศอินเดีย
นั่นถือว่าเป็นโชคดี ที่ทำให้เราได้มีโอกาสเจริญสติ เพื่อบรรลุธรรมขั้นสูง
ได้อย่างไม่ยากเย็นจริงๆ
555555555555555555555555555
มองวิถีอินเดียบนท้องถนน..อย่างมีศิลปะ
.
อินเดีย เป็นประเทศหนึ่งในโลก
ที่มีรากเหง้าทางวัฒนธรรมอันหลากหลาย ซับซ้อน และ งดงามที่สุดในโลกที่หนึ่ง
.
มีทั้งเรื่องราว และ อารมณ์ อันละเอียดละออ
จนเป็นที่ยอมรับว่าเป็นแผ่นดินที่มีคุณค่าศิลปะชั้นสูงมาก ๆ
.
นึกภาพตามมานะ
.
ขณะที่โลก ร๊อค แอนด์ โรล กำลังคลั่งอาละวาดดุเดือดเผ็ดมันส์ไปทั่วโลก
เส้นเสียงกีตาร์ 6 สายได้กรีดผ่านหัวใจวัยรุ่นหนุ่มสาวมานักต่อนัก
.
แต่คุณรู้ไหมว่า อินเดีย ได้บรรจงนิ้้วพรมพรายประกับสายซีตาร์ 7 - 20 สาย
มานานเท่าไรแล้ว
.
ไม่ว่ากาลสมัยได้เปลี่ยนแนวทางการแต่งกายในแบบชาติตะวันตก
.
เสนอมุมมองวิธีคิดเกี่ยวกับเสื้อผ้า หน้า ผม
หล่อหลอมจนเป็นการค้าผ่านโลกแฟชั่นให้คนทั้งโลกหลงเดินตาม
แต่สำหรับ "อินเดีย"
ยังคงเป็นประเทศที่่คงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ของตัวเอง ผ่านวิถีธรรมดา ๆ ข้างถนน
.
การแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีฉูดฉาดหลากหลาย
มันบ่งถึงวิธีคิด จารีต และการแบ่งชั้นทางความคิด
.
การแต่งแต้มสิ่งเล็กน้อยบนหน้าผาก เพื่อบอกสถานะทางสังคม
.
มันเป็นความงดงามที่คงอยู่ในทุกยุคสมัยของอินเดียได้อย่างเหลือเชื่อ
แม้โลกจะเปลี่ยนไปแล้วเท่าไรก็ตามที
.
แต่เมื่อพูดถึง "การใช้ถนน" อันแสนจะวุ่นวายในอินเดีย
.
ตลอดเวลา
เราจะได้ยินเสียงแตรเอ็ดตะโร
เราจะได้เห็นท้ายรถบรรทุกแทบทุกคัน จะมีคำเขียนว่า "Horn Please”
.
ที่แปลว่า "ได้โปรด...บีบแตร"
555555555555555555555555555
.
การบีบแตรแบบนั้น มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ที่เขียนให้ดูสนุก
แต่มันกลับเป็นจริง เป็นจัง มากมาย ที่ทุกคนจะต้องปฏิบัติ !
.
มีครั้งหนึ่ง ตอนที่บิดคันเร่งเพื่อแซงรถสิบล้อ
แซงแบบธรรมดาๆ เว้นระยะเพื่อตบรถเข้าเลนส์ตามปกติ
.
แต่เมื่อมองกระจกหลังไล่ตาม ปรากฏโชว์เฟ่อร์สิบล้อร้องโหวกแหวกโวยวาย
ที่เราไม่ยอมบีบแตรรถให้สัญญาเวลาแซง
.
มันเป็นเรื่องน่าพิสมัย ปนน่าเหลือเชื่อสำหรับคนไทยที่กำลังถูกด่าบนท้องถนนอินเดีย
555555555555555555555555555
ถูกด่า แล้วมีความสุขปนรอยยิ้ม
เลยอดเสียไม่ได้ที่จะหันไปพงกหัวเป็นการขอโทษที่ไม่เข้าใจวัฒนธรรมข้อนี้
ระยะทางกว่าจะมาถึง กุสินารา ค่อนข้างจะยาวไกลหลายร้อยกิโลเมตร
.
รถมอเตอร์ไซค์ 2 ล้อ ห้อตะบึงออกมาแต่เช้า
กว่าจะถึงเมืองกุสินาราก็พลบค่ำ สิ่งที่ดีที่สุดก็คือ หาที่พักนอน
.
ก่อนทางแยกเข้าเมืองไม่ไกล
ได้เผอิญเห็นป้ายโฮเทลอยู่ป้ายหนึ่ง น่าสนใจ
.
จึงบ่ายหน้ารถเข้าไป ในประตูแคบ ๆ ดูทรุดโทรม
จอดรถถามหาคนดูแลที่นี่
.
ไม่นาน ปรากฏกายพนักงานคนได้เดินเข้ามาถามไถ่
พูดคุยพอจับความเป็นสำนวนอินเดีย-อังกฤษได้ดี
.
ถามไถ่ราคาไม่แพง
ห้องนอนเดี่ยวประมาณ คืนละ สามร้อยบาท ห้องนำ้ส่วนตัว จึงตัดสินใจเข้าพัก
.
พนักงานรีบวิ่งกุลีกุจอ โบกไม้โบกมือให้ขี่รถตามเข้าไป
จากที่เห็นทรุดโทรมเงียบเหงาอยู่ภายนอก
.
ใครจะรู้ได้ ว่าเมื่อประตูชั้นในเปิดออก
ความรู้สึกเหมือนได้พบเห็นโลกอีกโลกหนึ่งอันโอ่อ่า เป็นลานกว้าง
.
มีบ่อน้ำพุ ที่คงเคยความรุ่งเรืองงดงาม อยู่กลางลานนั้น
.
มีผู้คนมากมายที่เข้าพักอยู่ภายในห้อง
มีโรงครัวคนครัวที่สำราญครึกครื้นร่วมกันประกอบอาหารค่ำ
.
พนักงานพาเดินผ่านห้องต่าง ๆ ตามระเบียง
มีแต่เสียงหญิงสาวจับกลุ่มพูดคุย
.
สายตาที่เห็น เราเสียอีกที่ดูเป็นคนแปลกหน้า
เพราะต่างใส่ชุดส่าหรีแบบอย่างคนอินเดียทั่วไป
.
ราวตากผ้ามีอยู่ในทุกหน้าห้อง ไม่เว้นแม้แต่หน้าห้องของที่ตัวเองกำลังจะนอน
.
ผ้าลูกไม้ซีทรูสีขาว ๆ
ชวนให้เกิดจินตภาพ หลับฝันดีอย่างหลีกเลี่่ยงไม่ได้แน่ ๆ
555555555555555555555555555
ยามเช้า แสงแดดอ่อน ๆ ทอดมาทางลานน้ำพุด้านล่าง
.
ตามองลงไปกลับพบเจอสิ่งน่าฉงนชวนให้คิดสงสัย
.
พระสงฆ์ท่านหนึ่ง ยืนนิ่งไขว้มือไว้ด้านหลังพิจารณาธรรมอยู่ตรงนั้น
.
ท่านมาแต่หนใด ?
มาแต่เมื่อไร ?
และ มาทำไมยังสถานที่แบบนี้ ?
.
ความฉงนสงสัย นำมาสู่การถามไถ่ จนได้ความว่า
.
ท่านเป็นพระสงฆ์มาจากประเทศ ศรีลังกา
ได้พาคณะอุบาสก อุบาสิกา มาจาริกแสวงบุญที่กรุงกุสินารา อันเป็นที่พระพุทธเจ้าเสด็จสวรรณคต ณ ที่แห่งนี้
.
และ ท่านก็ได้จำวัด (โรงแรม) ที่นี่เช่นเดียวกับเรา
555555555555555555555555555
สิ่งที่ได้เห็นสิ่งหนึ่งจากการเดินทางจากต่างบ้านต่างเมืองมายังที่นี่ ก็คือ
.
"ความศรัทธา"
.
จริงนะ
ความเชื่อ ความศรัทธาใด ไม่ว่าจะรูปแบบใด
จะออกดอกออกผลให้งดงามอยู่เสมอในต้นไม้ของความเป็นมนุษย์
.
ตามมาเถอะ
จะมีเรื่องเล่าในแบบนี้อยู่เสมอ แม้ในที่ต่างออกไป
จากกรุงกุสินารามาในแง่มุมของความศรัทธาในความรัก
เธอจะเห็นมันอยู่ทุกที่ เมื่อดอกไม้แห่งความเบิกบานได้โปรยลงท่ามกลางจิตใจเธอแล้ว
.
เดินทางต่อนะ
ใช้ ดอน คิง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี