“ผ้าปะลางิง” เป็นผ้าทอมือที่ใช้เทคนิคการพิมพ์ลายบนผืนผ้าด้วย “บล็อกไม้” แกะสลักเป็นลวดลายต่างๆ ถือเป็นขุมทรัพย์แห่งภูมิปัญญาชิ้นเอกหนึ่งของงานหัตถศิลป์จากฝีมือครูศิลป์ ครูช่าง และทายาทระดับประเทศที่หาชมได้ยาก มีบันทึกไว้ว่า ในปี 2572 เมื่อครั้ง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) เสด็จฯ ณ มณฑลปัตตานี ประชาชนที่มาเฝ้าฯรับเสด็จ
ต่างแต่งกายและใส่เสื้อผ้าที่ตัดเย็บจากผ้าปะลางิง ใช้วิธีคาดบ้างนุ่งบ้าง หรือบางคนก็ทำเป็นผ้าห่มแบบสไบ
ปิยะ สุวรรณพฤกษ์ ครูช่างศิลปหัตถกรรมปี พ.ศ. 2560 และผ้าปะลางิง
ปิยะ สุวรรณพฤกษ์ ครูช่างศิลปหัตถกรรมปี พ.ศ. 2560 เล่าว่า ผ้าปะลางิง เคยหายสาบสูญไปจากวัฒนธรรมของชาวใต้พร้อมๆ กับการเลิกปลูกหม่อนเลี้ยงไหมของคนในพื้นที่ โดยเฉพาะ จ.ยะลา ที่แม้แต่การทอผ้าก็หายไปด้วย จึงอยากฟื้นฟูและอนุรักษ์ศิลปะแขนงนี้ไว้ ด้วยการนำเอาศิลปะลวดลายที่พบเห็นจากสถานที่ต่างๆ ที่สะท้อนเรื่องราวของสถาปัตยกรรมวิถีและวัฒนธรรมในพื้นถิ่นใต้ มาออกแบบเป็นลวดลายบล็อกไม้ที่ใช้พิมพ์ผ้าปะลางิงกว่า 200 ลาย มีการพัฒนาสร้างสรรค์กระบวนการผลิตผ้าปะลางิง ให้มีมิติของสีสัน และลวดลายที่มีความแปลกสะดุดตายิ่งขึ้น
“ปกติ ผมจะขึ้นเฟรมผ้าเดือนหนึ่งๆ ประมาณ 6 เฟรม หรือ 6 ลาย ผ้าปะลางิงแต่ละผืนของเราจะมีการขึ้นนับเบอร์ไว้ทุกชิ้น ต่างกันทุกชิ้น ไม่ซ้ำกัน ลายก็แตกต่างกันหมดทุกชิ้นที่ไม่เหมือนกันเลย เพื่อที่แสดงให้เห็นว่าแต่ละชิ้นเป็นแฮนด์เมด จริงๆ เป็นที่นิยมทุกสี” ครูปิยะ กล่าว
ครูช่างท่านนี้ อธิบายว่า ผ้าปะลางิง เป็นผ้าหลากสี มีหลายเทคนิค อยู่ในผ้าหนึ่งผืน ตั้งแต่เทคนิคการมัดย้อมเพื่อให้เกิดตัวลายขึ้นมาก่อน และเทคนิคการเขียนเทียนปิดตัวลาย หลังจากนั้นก็เป็นเทคนิคล้างเอาสีที่ย้อมออกให้เหลือแต่สีที่ติดตัวลายไว้ หลังจากนั้นถึงจะลงสีพื้น แล้วถึงเริ่มขบวนการพิมพ์ พอจัดการพิมพ์เสร็จ จะทำการเพนท์ เมื่อเพนท์เสร็จ ก็จะทำการปิดเทียนในหัวผ้า และใส่แสงเงาในตัวหัวผ้า ผ้าปะลางิงจึงเป็นผ้าที่มีเทคนิคการผลิตค่อนข้างมาก
ผ้าปะลางิงที่ทอสำเร็จแล้ว จะมีความยาวด้านหน้ากว้าง ตั้งแต่ 42 ถึง 45 นิ้ว ความยาวของผ้าทอที่ได้จะความยาวรอบละประมาณ 10 กว่าเมตร เพราะต้องการให้มีการเปลี่ยนลายใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ผืนผ้าที่ได้จะนำมาใช้ทำเป็นผ้าซิ่น นำมาใช้ตัดเป็นชุดเดรสสวยก็ได้ แต่โดยปกติแล้ว ถ้าตัดเป็นชุดเดรสจะไม่จำเป็นต้องทำลายหัว แต่ละลายจะมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามลายที่ทอและมีที่มาที่ไปของลายผ้า เช่น ลาจวนตานี ลายหัวเข็มขัดโบราณที่มาจากหัวเข็มขัดที่ชาวมุสลิมชอบใส่ในสมัยโบราณ ลายช่องลมบ้านโบราณ ลายกระเบื้องโมเสกโบราณ
เมื่อถามถึงวัตถุดิบ ครูปิยะ ระบุว่า เป็นไหมผสมกับใยฝ้าย ด้วยที่ภาคใต้เลี้ยงไหมเองไม่ได้ เนื่องจากสภาพภูมิอากาศไม่เหมาะสมและเอื้อให้เลี้ยงไหมได้ จึงต้องใช้กลุ่มเครือข่ายขึ้นมา เพื่อป้อนไหมจากที่อื่นๆ มาให้ สมัยก่อน กลุ่มหม่อนไหมได้ลงไปเลี้ยงและปลูกหม่อน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ส่วนวัตถุดิบที่ใช้ย้อมสี จะมีทั้งสีธรรมชาติ และสีเคมี และสำหรับวิธีการดูแลและรักษาเนื้อผ้าปะลางิงรวมถึงผ้าทอมือชนิดต่างๆ แนะนำว่า เมื่อซักแล้วไม่ควรนำไปตากแดด และควรซักด้วยมืออย่างทะนุถนอม จะทำให้ผ้ามีสีที่สวยสดและรักษาเนื้อผ้าไว้ให้คงทนยาวนาน
“เราไม่มีการส่งขายผ้าปะลางิงไปขายเป็นการทั่วไปที่ไหนเลย เพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นลูกค้าที่สั่งจอง ทั้งในประเทศ กลุ่มที่ชอบนุ่งผ้าซิ่น กลุ่มที่นิยมสะสมผ้า บางส่วนก็จะเป็นกลุ่มลูกค้าต่างประเทศ ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่ชอบนำผ้าไปใช้กับงานตกแต่ง ใช้ผ้าทั้งผืนในการห้อยโชว์ ไม่นิยมตัดผ้า เพราะว่าเขานิยมและโชว์ให้เห็นถึงเทคนิคการทำผ้าแบบต่างๆ ที่ค่อนข้างมีมากในผ้าปะลางิง” ครูปิยะ กล่าวอย่างภูมิใจ
ขณะที่ อัมพวัน พิชาลัย ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) “SACICT” กล่าวเสริมว่า ความเป็นอัตลักษณ์ที่โดดเด่นของผ้าปะลางิง ที่เป็นผ้าที่มีประวัติยาวนานกว่า 100 ปี มีการใช้ในกลุ่มชาวมุสลิมชายแดนในแถบจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส แล้วยังเป็นผ้าที่สะท้อนเอกลักษณ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น มีความเชื่อมโยงเกี่ยวพันกับวิถีชีวิต ความเป็นมาและศาสนา เกิดเป็นมรดกทางภูมิปัญญาสืบทอดต่อกันมา SACICT จึงเป็นแกนกลางหลักสำคัญในการส่งเสริมและสืบสานภูมิปัญญาของแต่ละท่าน
เพื่ออนุรักษ์งานหัตถศิลป์ที่ใกล้สูญหาย ให้อยู่คู่กับคนไทยจากรุ่นสู่รุ่น..สืบทอดต่อกันไปตราบนานเท่านาน!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี