8 มีนาคม ของทุกปีตรงกับ วันสตรีสากล (International Women's Day) เดิมนั้นเป็นวันเรียกร้องสวัสดิภาพและความเป็นธรรมให้กับแรงงานหญิง เช่น สิทธิในการได้รับค่าตอบแทนเท่าเทียมกับแรงงานชายในงานประเภทเดียวกัน รวมถึงสิทธิของแรงงานที่จะไม่ถูกใช้ให้ทำงานในสภาพทารุณโหดร้าย ซึ่งแรงงานหญิงก็มีการต่อสู้ในประเด็นนี้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าแรงงานชาย แต่หลังจากนั้นวันสตรีสากลได้พัฒนาการไปเป็นวันที่ยกย่องบทบาทของผู้หญิงในการขับเคลื่อนประเด็นทางสังคม มาจนถึงปัจจุบัน
สำหรับประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) จัดงานวันสตรีสากลประจำปี 2561 ไปเมื่อ 7 มี.ค. 2561 ที่ผ่านมา ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพ ย่านปทุมวัน โดยมีการมอบรางวัลให้กับองค์กรหรือสตรีที่มีบทบาทขับเคลื่อนประเด็นทางสังคมในประเทศไทย อาทิ สุภาภรณ์ มาลัยลอย ผู้จัดการมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLaw) ที่ทำงานด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิชุมชนมาเกือบ 2 ทศวรรษ
สุภาภรณ์ มาลัยลอย
สุภาภรณ์ เล่าว่า ทำงานกับภาคประชาชนมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 2540-2550 เห็นถึงการเติบโต ทั้งในเรื่องของสิทธิมนุษยชน สิทธิชุมชน พร้อมหลักการประชาธิปไตย แต่หลังรัฐประหาร 3 ปีมานี้ สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ สิทธิมนุษยชนถูกลิดรอน ออกไป เหมือนกับว่าต้องมาเริ่มเรื่องสิทธิมนุษยชน สิ่งแวดล้อม และหลักการประชาธิปไตยกันใหม่ รัฐบาลใช้กลไก อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดมากกว่าที่ผ่านมาในการจำกัดสิทธิมนุษยชนของภาคประชาชน ทำให้ประชาชนต้องต่อสู้ดิ้นรนมากกว่าเดิม มีความเสี่ยงในมิติทั้งภัยคุกคาม และในเชิงชีวิต
ซึ่งทำให้เหมือนทำงานที่ยากลำบากมากขึ้นในเชิงที่ต้องคำนึงว่าถ้าเข้าไปสนับสนุนประชาชนใช้สิทธิ แล้วหลังจากที่ประชาชนใช้สิทธิแล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาเหล่านั้น ดังนั้นต้องคำนึงถึงความเสี่ยงของประชาชนในประเด็นนี้มากขึ้นว่าเดิม พร้อมย้ำว่า กฎหมายพิเศษที่เกี่ยวข้องกับการลิดรอนสิทธิของประชาชนควรถูกยกเลิก แล้วกลับมาใช้กฎหมายตามปกติ ให้พื้นที่กับความเห็นต่างได้แล้ว เพราะควรทำให้เป็นบรรยากาศที่นำไปสู่การเลือกตั้ง สู่ระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
“เราทำงานด้านกฎหมาย อาจทำให้รู้สึกว่าไม่ค่อยโดนคุกคามเท่าไหร่ แต่ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา กลับรู้สึกว่าโดนคุกคามมากกว่าที่เคยโดยผ่านมาทั้งหมด เช่น ไปอบรมชาวบ้าน จะมีทหาร ตำรวจ ทั้งในเครื่องแบบ นอกเครื่องแบบ มาถ่ายรูปเรา ซักประวัติ ถามชื่อ นามสกุล ตำแหน่ง มานั่งฟังที่เราอบรมชาวบ้าน เราเองไม่ได้ซีเรียสในการที่เจ้าหน้าที่จะมานั่งฟัง แต่เป็นความเสี่ยงของชุมชน เพราะเราอบรมทางกฎหมายเพื่อให้ประชาชนใช้สิทธิ แต่เมื่อเราออกมาแล้ว แล้วพี่น้องเราล่ะ ซึ่งที่ผ่านมาพบว่ามีพี่น้องโดนตามโดนตามในพื้นที่” สุภาภรณ์ ระบุ
เช่นเดียวกับ ดารารัตน์ สุเทศ หัวหน้าบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดพังงา ที่กล่าวว่า หน่วยงานของตนได้รับภารกิจพิเศษจากรัฐบาลให้ดูแลผู้อพยพทางเรือในสภาวะไม่ปกติ กลุ่มผู้อพยพชาวโรฮิงญา ที่หนีภัยสงครามจากพม่าโดยใช้ไทยเป็นทางผ่าน โดยกลุ่มคนเหล่านี้ถูกแสวงหาผลประโยชน์และตกเป็นเหยื่อในขบวนการค้ามนุษย์ ทั้งจากเจ้าหน้าที่ของไทยและเมียนมา (พม่า) เมื่อผู้อพยพถูกจับกุมกลุ่มเด็กกับผู้หญิงจะถูกนำตัวมาส่งที่บ้านพักในระหว่างรอเดินทางไปประเทศที่สาม
ดารารัตน์ สุเทศ
แต่ปัญหาคือ “บ้านพักไม่ได้เป็นสถานที่คุมขัง ทำให้นายหน้าอาศัยช่องว่างเข้ามาติดต่อชักจูงออกไป” โดยมีครั้งหนึ่งที่ติดต่อขอความช่วยเหลือกลับมา จึงตัดสินใจแจ้งขอความร่วมมือไปที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองพังงา และท้ายที่สุดสามารถช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กกลับมาได้ ทราบว่าเขาถูกลวงละเมิดทางเพศจากนกต่อที่เป็นลูกน้องของเจ้าหน้าที่หน่วยหนึ่ง ซึ่งเชื่อมโยงกับเจ้าหน้าที่ระดับสูง และเจ้าหน้าที่ระดับสูงรายดังกล่าวได้โทรศัพท์มาขอให้หยุดเรื่อง แต่ยืนยันว่าเมื่อเดินหน้าไปแล้วก็หยุดไม่ได้
“กฎหมายไทยดีมาก แต่อยู่ที่ผู้ปฏิบัติ ถ้าไม่หยิบกฎหมายมาเป็นเครื่องมือเอาผิดผู้กระทำความผิด เพราะเกิดความเกรงกลัว ก็จะไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้ ขณะเดียวกันเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นพวกตนถูกตั้งกรรมการสอบ ทำให้คนทำงานเกิดความท้อใจ บางครั้งต้องต่อสู้กับพวกนายหน้าที่มีอิทธิพล เคยต้องไปขอยืมปืนจากนายอำเภอเพื่อมาคุ้มครองตัวเอง จริงๆ ต้องมีการประสานความร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเหนียวแน่น เพราะเคยมีกรณีหน่วยงานเราเดินไปข้างหน้า แต่เพื่อนหน่วยงานอื่นถอนตัวหมดเพราะกลัวอิทธิพล” ดารารัตน์ กล่าว
ด้าน นุชนารถ แท่นทอง ประธานเครือข่ายสลัมสี่ภาค เป็นอีกคนที่ได้รับรางวัลนี้ กล่าวว่า จากการที่เคยได้รับผลกระทบ “เคยถูกไล่รื้อที่อยู่อาศัย” มาก่อน จึงเข้าใจความรู้สึก “อยุติธรรม” ที่คนจนได้รับ คนยากจนเข้าไม่ถึงสิทธิในที่อยู่อาศัย หรือ ที่ดิน จนทำให้ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อให้นำไปสู่การแก้ปัญหา อย่างไรก็ตามสำคัญที่สุดคือ “เครือข่ายเน้นการแก้ปัญหาระยะยาว” และย้ำว่าเครือข่ายสลัมสี่ภาคไม่เคยยุให้ชาวบ้านไปยึดที่ดินใครเขา
นุชนารถ แท่นทอง
“ถ้าชาวบ้านมาขอความช่วยเหลือในเรื่องของการต่อรองค่ารื้อถอนเราก็ไม่ทำ เพราะการต่อรองใครก็ต่อรองได้ ไม่จำเป็นต้องมาใช้องค์กรเครือข่าย แต่ถ้าต้องการแก้ปัญหาระยะยาวเรื่องที่อยู่อาศัย คุณภาพชีวิต เราก็จะลงไปทำงานให้เกิดการรวมกลุ่ม การจัดตั้งออมทรัพย์เข้าถึงแหล่งงบประมาณ อีกเรื่องของความไม่เป็นธรรมทางสังคม ซึ่งไม่ว่าเราจะอยู่ตรงไหน เราเกี่ยวข้องกับการเมือง กับสังคมหมด ถ้าความเป็นธรรมจะเกิดขึ้น ต้องลดความเหลื่อมล้ำให้ได้ ทุกคนสามารถเข้าถึงสวัสดิการของรัฐต่างๆได้” ประธานเครือข่ายสลัมสี่ภาค ระบุ
รวมถึง “เอ็มพาวเวอร์” องค์กรที่ขับเคลื่อนประเด็นสิทธิและการมีตัวตนของ “ผู้ขายบริการทางเพศ” มาอย่างยาวนาน ซึ่งคนกลุ่มนี้ถือว่า “อยู่ชายขอบ” อย่างที่สุดในสังคมไทย ไม่ค่อยมีพื้นที่ให้พูดถึงในแง่อื่นๆ นอกจากแง่ลบเท่าใดนัก ไหม จันทร์ตา ตัวแทนมูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ กล่าวว่า เอ็มพาวเวอร์เป็นองค์กรพนักงานบริการ ที่พนักงานบริการต่อสู้เรียกร้องในสิทธิของตนเอง โดยตลอด 32 ปีที่ผ่านมา เอ็มพาวเวอร์ต่อสู้เพื่อสิทธิทางกฎหมาย การศึกษา สุขภาพ การเดินทาง และสิทธิแรงงาน
ไหม จันทร์ตา
“พนักงานบริการไม่ได้เรียกร้องเพื่อมีสิทธิพิเศษ แต่เรียกร้องเพื่อสิทธิที่เท่าเทียมเทียมในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง มูลนิธิทำงานผ่านมา 14 รัฐบาล แต่ยังไม่มีรัฐบาลไหนที่มาปกป้องสิทธิของพนักงานบริการอย่างแท้จริง เอ็มพาวเวอร์ ต่อสู้ให้ยกเลิกไม่เอาผิดทางอาญากับอาชีพนักงานบริการ เพื่อแก้ปัญหาการเอาเปรียบในสถานที่ทำงาน ลดการจ่ายส่วย และลดปัญหาในสังคมอื่นๆ และให้บังคับใช้กฎหมายแรงงาน เพื่อให้เราเข้าถึงสิทธิการทำงานที่ยุติธรรมและมีความปลอดภัย” ผู้แทนมูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ กล่าว
ในงานนี้ผู้ได้รับรางวัลประกอบด้วย มูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ , ทีมฟุตบอลบูคู FC ซึ่งเป็นทีมฟุตบอลหญิงในพื้นที่ชายแดนใต้ , นางนุชนารถ แท่นทอง ประธานเครือข่ายสลัมสี่ภาค , น.ส.สุภาภรณ์ มาลัยลอย ผู้จัดการมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLaw) , นางดารารัตน์ สุเทศ หัวหน้าบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดพังงา และ น.ส.หทัยรัตน์ พหลทัพ ผู้สื่อข่าวอาวุโส สถานีโทรทัศน์ Thai PBS
บทสรุปจากเวทีมอบรางวัลครั้งนี้ เห็นตรงกันว่า “รัฐต้องคุ้มครองผู้ที่ออกมาปกป้องสิทธิ” โดยเฉพาะการหามาตรการยุติวิธีการประเภท “ฟ้องปิดปาก” (Strategic Lawsuits Against Public Participation - SLAPPs) ที่ทั้งหน่วยงานภาครัฐรวมถึงกลุ่มทุนขนาดใหญ่นิยม “ฟ้องคดีแบบไม่เน้นแสวงหาข้อเท็จจริง แต่ฟ้องเพื่อให้คนที่ออกมาต่อสู้ประสบความยากลำบากในการใช้ชีวิต” เพราะต้องวุ่นวายอยู่กับการขึ้นโรงขึ้นศาล รวมถึงยุติกฎหมายพิเศษที่จำกัดการแสดงความคิดเห็นของประชาชนและการทำงานของสื่อมวลชน
ทว่าดูจากท่าทีของภาครัฐขณะนี้ คงต้องบอกว่า “ยาก” และการต่อสู้ของเหล่านักปกป้องสิทธิไม่ว่าหญิงหรือชายในสังคมไทย..หนทางยังอีกยาว!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี