“หมดหนาวเข้าร้อน” หรือช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายนของทุกปี สำหรับผู้คนในพื้นที่อื่นๆ อาจจะบ่นว่าไม่มีแล้วอากาศเย็นสบาย จากนี้คงต้องทนกับอากาศร้อนและร้อนมาก นอกจากนี้ในปี 2561 สำหรับกรุงเทพฯ อาจจะกังวลกันมากหน่อยกับ “ฝุ่นละออง PM2.5” หรือฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอนที่มีข่าวว่าปริมาณสูงขึ้นจากภาวะอากาศนิ่ง แต่สำหรับ“ชาวเหนือ” ผู้คนในภาคเหนือของไทยนั้นฝุ่นละอองและ “หมอกควัน-ไฟป่า” ในช่วงดังกล่าวถือเป็น “เทศกาลประจำปี” ไปเสียแล้ว
โดยสาเหตุหลักนั้นมาจาก “การเผาที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร” เพราะเป็นวิธีกำจัดวัชพืชหรือวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรที่ง่ายและต้นทุนต่ำที่สุด และไม่เพียงแต่เกษตรกรไทย ยังรวมถึงเกษตรกรจากประเทศเพื่อนบ้านด้วยที่ทำแบบเดียวกัน ซึ่งหมอกควันในภาคเหนือนี้เป็นที่มาของ “ฝุ่นละออง PM10” หรือฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน ส่งผลกระทบกับผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่บริเวณนั้นไม่ว่ากับคนปกติทั่วไปที่จะมีอาการหายใจไม่สะดวก แสบและเคืองตา และคนที่เป็นโรคภูมิแพ้อาการอาจทรุดหนักถึงขั้นเสียชีวิตได้ ต่างจาก PM2.5 ที่ส่งผลกับกลุ่มผู้ป่วยภูมิแพ้เป็นหลัก
ข้อมูลสภาพอากาศสัปดาห์แรกของเดือนมีนาคม 2561 หรือระหว่างวันที่ 5-9 มีนาคม 2561 จาก กรมควบคุมมลพิษ รายงานว่า ปริมาณฝุ่น PM10 ในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือ (เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง ลำพูน แม่ฮ่องสอน น่าน แพร่ พะเยา ตาก) อยู่ในเกณฑ์ “ปานกลางถึงกระทบต่อสุขภาพ” เฉลี่ยขั้นต่ำมากกว่า 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และขั้นสูงมากกว่า 200 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งในช่วงดังกล่าวทีมงาน“แนวหน้า” มีโอกาสติดตามคณะของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ลงพื้นที่ไปสัมผัสวิกฤติครั้งนี้กับเขาด้วย
ผศ.ดร.สมพร จันทระ หัวหน้าศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) เผยว่า การเผาในภาคเหนือมี 2 ลักษณะ ได้แก่ “พื้นที่เกษตร”พบว่า “น่าน-พะเยา” เป็น 2 จังหวัดที่พบการเผาค่อนข้างมาก กับ “พื้นที่ป่า” จังหวัดที่เผาพื้นที่นี้กันมากคือ “แม่ฮ่องสอน-เชียงใหม่” เนื่องจากมีพื้นที่ป่าจำนวนมาก ซึ่งการกระจายพื้นที่ของการเผาในที่โล่งมีความสอดคล้องกับลักษณะการใช้ที่ดิน
สถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ
หน.ศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม มช. กล่าวต่อไปว่า จากการทดสอบการเผาชีวมวล 4 ชนิดคือ ฟางข้าว เศษต้นข้าวโพด เศษใบไม้จากป่าเต็งรังและป่าเบญจพรรณ พบว่า มีการปล่อยฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือ PM2.5 จากการเผาฟางข้าวและใบจากป่ามากกว่าการเผาต้นข้าวโพด แต่ฝุ่นที่ได้จากการเผาฟางข้าวและต้นข้าวโพดแห้ง มีปริมาณ “โพแทสเซียมคลอไรด์” สูงกว่าการเผาใบไม้จากป่า ซึ่งมาจากการใช้ปุ๋ยและสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในกลุ่มพืชเกษตร แสดงให้เห็นว่ามีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งจากการสูดดมควัน
“จากการวิเคราะห์ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมแลนด์แซท (Landsat) ย้อนหลัง 10 ปี ตั้งแต่ปี 2549-2558 พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินอย่างเห็นได้ชัด โดยพื้นที่ป่ามีปริมาณลดลงกว่า 14,000 ตารางกิโลเมตร ขณะพื้นที่เกษตรมีปริมาณเพิ่มขึ้นเกือบ 13,000 ตารางกิโลเมตร แสดงให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของพื้นที่เกษตรบนพื้นที่สูงได้อย่างชัดเจน” อาจารย์สมพร ระบุ
ที่ผ่านมามีความพยายามแก้ไขหรืออย่างน้อยๆ ก็บรรเทาปัญหาจากภาคส่วนต่างๆ ในพื้นที่ อาทิ การออกประกาศห้ามเผาในห้วงเวลาที่กำหนดในแต่ละจังหวัด การระดมกำลังทั้งบุคลากรภาครัฐและชาวบ้านร่วมทำแนวกันไฟ ระยะหลังๆ ยังมีการนำเทคโนโลยี อากาศยานไร้คนขับ (Unmanned Aerial Vehicle : UAV) หรือเรียกกันติดปากว่า “โดรน” (Drone) เข้ามาช่วยตรวจจับการลุกไหม้ของเปลวเพลิงด้วย
ผศ.ดร.สรรเพชญ ชื้อนิธิไพศาล อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมสำรวจ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า สำหรับโดรนที่นำมาใช้ มี 2 แบบคือ 1.มัลติโรเตอร์ (Multirotors) จะมีใบพัด 6 ตัว จุดเด่นคือสามารถขึ้น-ลงทางดิ่งได้เหมาะสำหรับในพื้นที่ที่มีข้อจำกัดเรื่องของความกว้าง แม้จะมีต้นไม้รอบข้างยังสามารถทำงานได้ แต่จุดด้อยคือระยะเวลาบินสั้นเพียง 10 นาทีเท่านั้น เนื่องจากใช้พลังงานมาก
กับ 2.ฟิกซ์วิง (Fix Wing) มีลักษณะคล้ายเครื่องบินมีปีกขนาดเล็ก จุดเด่นคือสามารถบินได้นานถึง 1 ชั่วโมง แต่จุดด้อยคือไม่สามารถนำเครื่องขึ้น-ลงทางดิ่งได้ จำเป็นต้องมีพื้นที่เหมาะสมสำหรับเป็นลานบิน และต้องมีสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย ทั้งนี้โดรนทั้ง 2 แบบ ใช้สำรวจหาพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูงผิดปกติ หรือเรียกว่า “จุดความร้อน” (Hotspot) ซึ่งหมายถึงว่าบริเวณนั้นมีไฟกำลังลุกไหม้ ทำให้มองเห็นได้แม้กระทั่งพื้นที่ป่าลึกที่มนุษย์เข้าถึงได้ยาก
อาจารย์สรรเพชญ เผยว่า จุดเริ่มต้นของการพัฒนาเทคโนโลยีโดรนเพื่อใช้งานแก้ปัญหาหมอกควันและไฟป่าในภาคเหนือ มาจากการที่พบว่าในพื้นภาคเหนือมีเครื่องมือตรวจอากาศเพียง 14 แห่งเท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับพื้นที่ทั้งหมด เพราะการมีระบบตรวจวัดที่เพียงพอจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งภาครัฐและชุมชน ที่จะรับรู้แนวโน้มสถานการณ์ของหมอกควันได้อย่างรวดเร็ว นำไปสู่การแก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงที
“หากทุกพื้นที่มีอุปกรณ์หรือเครื่องตรวจวัดอากาศติดตั้งอยู่ในพื้นที่จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนและยังช่วยลดภาระให้กับรัฐได้ในอนาคต” อาจารย์สรรเพชญ กล่าวในท้ายที่สุด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี