โลกยุคปัจจุบัน “เชื่อมโยงถึงกันหมด” ไม่มีดินแดนใดที่สามารถปิดตนเองอยู่อย่างโดดเดี่ยว หากแต่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการต่างๆ ตามศักยภาพของแต่ละประเทศ ขณะเดียวกัน “ค่านิยม” ของโลกยุคใหม่นั้นมนุษย์ถูกปลูกฝังให้ “เคารพในศักดิ์ศรีความเป็นคนเท่ากัน” ดังนั้นประเทศหรือกิจการใดๆ ที่อยู่ด้วยการ “ละเมิด” ส่งผลกระทบเดือดร้อนแก่เพื่อนมนุษย์ ประเทศหรือกิจการนั้นมัก “ถูกกีดกัน” ไม่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ
เห็นได้ชัดๆ กับกรณีของประเทศไทยที่รัฐบาลพยายามแก้ปัญหา “กิจการประมง” กันอย่างจ้าละหวั่น เพื่อลบภาพ “แรงงานทาส” ที่ถูกพูดถึงมากในวงการประมงไทยมาช้านาน จนถูกกดดันจากทั้ง “สหรัฐอเมริกา-สหภาพยุโรป (อียู-EU)” อันเป็น “ลูกค้าหลัก” ที่ซื้อสินค้าประมงจากไทย หากรัฐบาลไทยไม่แก้ไขอย่างจริงจังให้ภาพลักษณ์ดีขึ้น ย่อมไม่อาจส่งสินค้าสัตว์น้ำไปขายในประเทศเหล่านั้นได้
ศ.(กิตติคุณ) ดร.วิทิต มันตาภรณ์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะทำงานด้านสิทธิมนุษยชน องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น-UN) กล่าวในงานสัมมนาวิชาการ “Leading by Example : รัฐวิสาหกิจไทยสู่ต้นแบบการทำธุรกิจที่เคารพสิทธิมนุษยชน” ถึงเกณฑ์ “กลุ่มเสี่ยง” ที่กติกาสากลคาดหวังให้ภาครัฐและธุรกิจไม่ละเมิด ดังนี้ 1.แรงงานประมง 2.แรงงานที่เป็นเหยื่อค้ามนุษย์
3.แรงงานบังคับหรือเอารัดเอาเปรียบ เช่นบางประเทศยังมีการเกณฑ์แรงงานประชาชนโดยไม่จ่ายค่าแรงหรือจ่ายค่าน้อยกว่าที่ควรจะเป็น รวมถึงภาคธุรกิจที่ “จ่ายค่าจ้างไม่ตรงเวลา” บ่อยๆ ด้วย 4.แรงงานก่อสร้าง 5.แรงงานเกษตร จำนวนมากเป็นแรงงานตามฤดูกาล อาจตกหล่นไม่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของกฎหมายใดๆ 6.แรงงานรับใช้ในบ้าน เป็นปัญหาใหญ่ระดับโลก เพราะพบว่าบรรดา “สาวใช้” เป็นแรงงานที่ถูกละเมิดสิทธิมากในหลายประเทศ
7.แรงงานในภาคธุรกิจขนาดเล็ก อยู่ในพื้นที่ห่างไกล 8.แรงงานเด็ก โดยเฉพาะ “โสเภณีเด็ก” เป็นเรื่องที่นานาชาติเฝ้าระวัง 9.แรงงานต่างด้าวที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน 10.คนไร้สัญชาติ 11.แรงงานผู้ต้องขังในเรือนจำ ที่บริษัทเอกชนทำสัญญาขอใช้แรงงานจากผู้ต้องขังผลิตสินค้าป้อนให้กับบริษัทนำไปขาย เรื่องนี้ทั้งภาคธุรกิจและภาครัฐที่ดูแลเรือนจำต้องระมัดระวังด้วย 12.เหยื่อฆาตกรรมหรือทำให้สาบสูญเพราะเหตุทางการเมือง
13.คนพิการ 14.ผู้สูงอายุ 15.สตรี เช่น ความรุนแรง การแต่งงานก่อนวัยอันควร 16.ผู้โยกย้ายถิ่นฐาน ทั้งที่เป็นผู้อพยพลี้ภัย รวมถึงการโยกย้ายเพราะผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม 17.นักปกป้องสิทธิ เรื่องนี้ประเทศไทยถูกจับตามองว่าทั้งภาครัฐและธุรกิจนิยมใช้วิธี “ฟ้องปิดปาก” (SLAPP) จัดการกับใครก็ตามที่ลุกขึ้นมาตั้งข้อสังเกตการใช้อำนาจของรัฐบาลหรือการดำเนินธุรกิจ ซึ่งการฟ้องปิดปากนั้นต่างจากการฟ้องคดีทั่วๆ ไปคือไม่ต้องการข้อเท็จจริงและความเป็นธรรม แต่ต้องการให้คนที่ร้องเรียน “วุ่น” อยู่กับการ “ขึ้นโรงขึ้นศาล” จนไม่กล้าพูดอะไรอีก
18.ชนกลุ่มน้อย 19.ชนพื้นเมือง และ 20.กลุ่มเพศทางเลือก (LGBTQ) นอกจากนี้ สำหรับประเทศไทยมีกติการะหว่างประเทศที่ไปลงนามไว้ 7 ฉบับ คือ 1.อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child-CRC) 2.อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (Convention on the Elimination of All Forms of Discrimination Against Women-CEDAW)
3.กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights-ICCPR) 4.กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (International Covenant on Economic, Social and Cultural Rights-ICESCR) 5.อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ (Convention on the Elimination of All Forms of Racial Discrimination-CERD)
6.อนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (Convention against Torture and Other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment or Punishment-CAT) และ 7.อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิของคนพิการ (Convention on the Rights of Persons with Disabilities-CRPD) ซึ่งจะมีคณะกรรมการจาก UN ติดตามตรวจสอบอยู่เป็นระยะๆ
อย่างไรก็ตาม อาจารย์วิทิต กล่าวถึง “ความท้าทาย” ของสังคมไทยหลายประการ เช่น กฎหมายว่าด้วย “พนักงานรัฐวิสาหกิจ” ไม่อนุญาตให้หยุดงานประท้วง หรือแรงงานที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนยังพบว่าถูกเลือกปฏิบัติ รวมถึง “ข้าราชการ-เจ้าหน้าที่รัฐ” ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ตั้งสหภาพแรงงาน ซึ่งตามหลักเกณฑ์ของ “องค์การแรงงานระหว่างประเทศ” (ไอแอลโอ-ILO) เรียกร้องว่าควรมีสิทธิดังกล่าว
ขณะที่ ประกายรัตน์ ต้นธีรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวว่า โลกยุคปัจจุบันไม่นิยมใช้มาตรการตั้งกำแพงภาษี แต่หันมาตรวจสอบว่าธุรกิจนั้นๆ ไปละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น กดค่าแรง ใช้แรงงานเด็ก ใช้แรงงานไม่มีวันหยุดพักหรือไม่ หากมีชาวโลกก็จะไม่ยอมรับ ทำให้ไม่สามารถค้าขายกับใครได้ และกล่าวด้วยว่า “แม้ภาคธุรกิจเอกชนจะสำคัญ แต่ที่เป็นรัฐวิสาหกิจซึ่งเป็นมือไม้ของรัฐนั้นสำคัญกว่า” ทว่าจากข้อร้องเรียนการละเมิดสิทธิที่ กสม. ได้รับเฉลี่ย 700-800 เรื่องต่อปี มีจำนวนไม่น้อยที่เกี่ยวข้องกับรัฐวิสาหกิจ
โดย “ภาคคมนาคม” ได้รับการร้องเรียนมากที่สุด เช่น รถไฟฟ้าที่คนพิการไม่ได้รับความสะดวกในการใช้ลิฟต์ หรือโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคที่ชุมชนได้รับผลกระทบจากฝุ่นควันและเสียง รองลงมาเป็น “ภาคพลังงาน” เช่น โครงการก่อสร้างแหล่งผลิตหรือลำเลียงพลังงานแล้วต้องโยกย้ายชุมชนออกไป มีการจ่ายค่าเวนคืนเหมาะสมหรือไม่? หรือชาวบ้านโดยรอบรู้สึกกังวลด้านสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ แม้ตัวรัฐวิสาหกิจจะยืนยันว่าได้ปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชนอย่างดี แต่ความท้าทายคือจะสามารถบังคับให้ “บริษัทลูก-ผู้รับเหมาช่วง-บริษัทคู่ค้า”ที่เข้ามาร่วมงานกับรัฐวิสาหกิจปฏิบัติเช่นเดียวกันได้อย่างไร พร้อมกับย้ำว่าอยากให้รัฐวิสาหกิจในฐานที่เป็นตัวแทนของภาครัฐ เป็น “แบบอย่าง” ในการทำธุรกิจที่ไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน พร้อมฝากข้อคิดว่า
ถ้าทำถูกต้องธุรกิจก็ยั่งยืนไม่มีความเสี่ยง แม้ตอนเริ่มต้นจะต้องใช้เวลา ใช้กำลังและทรัพยากรบ้าง!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี