วันจันทร์ ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2568
โลกยุคปัจจุบัน “เชื่อมโยงถึงกันหมด” ไม่มีดินแดนใดที่สามารถปิดตนเองอยู่อย่างโดดเดี่ยว หากแต่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการต่างๆ ตามศักยภาพของแต่ละประเทศ ขณะเดียวกัน “ค่านิยม” ของโลกยุคใหม่นั้นมนุษย์ถูกปลูกฝังให้ “เคารพในศักดิ์ศรีความเป็นคนเท่ากัน” ดังนั้นประเทศหรือกิจการใดๆ ที่อยู่ด้วยการ “ละเมิด” ส่งผลกระทบเดือดร้อนแก่เพื่อนมนุษย์ ประเทศหรือกิจการนั้นมัก “ถูกกีดกัน” ไม่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ
เห็นได้ชัดๆ กับกรณีของประเทศไทยที่รัฐบาลพยายามแก้ปัญหา “กิจการประมง” กันอย่างจ้าละหวั่น เพื่อลบภาพ “แรงงานทาส” ที่ถูกพูดถึงมากในวงการประมงไทยมาช้านาน จนถูกกดดันจากทั้ง “สหรัฐอเมริกา-สหภาพยุโรป (อียู-EU)” อันเป็น “ลูกค้าหลัก” ที่ซื้อสินค้าประมงจากไทย หากรัฐบาลไทยไม่แก้ไขอย่างจริงจังให้ภาพลักษณ์ดีขึ้น ย่อมไม่อาจส่งสินค้าสัตว์น้ำไปขายในประเทศเหล่านั้นได้
ศ.(กิตติคุณ) ดร.วิทิต มันตาภรณ์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะทำงานด้านสิทธิมนุษยชน องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น-UN) กล่าวในงานสัมมนาวิชาการ “Leading by Example : รัฐวิสาหกิจไทยสู่ต้นแบบการทำธุรกิจที่เคารพสิทธิมนุษยชน” ถึงเกณฑ์ “กลุ่มเสี่ยง” ที่กติกาสากลคาดหวังให้ภาครัฐและธุรกิจไม่ละเมิด ดังนี้ 1.แรงงานประมง 2.แรงงานที่เป็นเหยื่อค้ามนุษย์
3.แรงงานบังคับหรือเอารัดเอาเปรียบ เช่นบางประเทศยังมีการเกณฑ์แรงงานประชาชนโดยไม่จ่ายค่าแรงหรือจ่ายค่าน้อยกว่าที่ควรจะเป็น รวมถึงภาคธุรกิจที่ “จ่ายค่าจ้างไม่ตรงเวลา” บ่อยๆ ด้วย 4.แรงงานก่อสร้าง 5.แรงงานเกษตร จำนวนมากเป็นแรงงานตามฤดูกาล อาจตกหล่นไม่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของกฎหมายใดๆ 6.แรงงานรับใช้ในบ้าน เป็นปัญหาใหญ่ระดับโลก เพราะพบว่าบรรดา “สาวใช้” เป็นแรงงานที่ถูกละเมิดสิทธิมากในหลายประเทศ
7.แรงงานในภาคธุรกิจขนาดเล็ก อยู่ในพื้นที่ห่างไกล 8.แรงงานเด็ก โดยเฉพาะ “โสเภณีเด็ก” เป็นเรื่องที่นานาชาติเฝ้าระวัง 9.แรงงานต่างด้าวที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน 10.คนไร้สัญชาติ 11.แรงงานผู้ต้องขังในเรือนจำ ที่บริษัทเอกชนทำสัญญาขอใช้แรงงานจากผู้ต้องขังผลิตสินค้าป้อนให้กับบริษัทนำไปขาย เรื่องนี้ทั้งภาคธุรกิจและภาครัฐที่ดูแลเรือนจำต้องระมัดระวังด้วย 12.เหยื่อฆาตกรรมหรือทำให้สาบสูญเพราะเหตุทางการเมือง
13.คนพิการ 14.ผู้สูงอายุ 15.สตรี เช่น ความรุนแรง การแต่งงานก่อนวัยอันควร 16.ผู้โยกย้ายถิ่นฐาน ทั้งที่เป็นผู้อพยพลี้ภัย รวมถึงการโยกย้ายเพราะผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม 17.นักปกป้องสิทธิ เรื่องนี้ประเทศไทยถูกจับตามองว่าทั้งภาครัฐและธุรกิจนิยมใช้วิธี “ฟ้องปิดปาก” (SLAPP) จัดการกับใครก็ตามที่ลุกขึ้นมาตั้งข้อสังเกตการใช้อำนาจของรัฐบาลหรือการดำเนินธุรกิจ ซึ่งการฟ้องปิดปากนั้นต่างจากการฟ้องคดีทั่วๆ ไปคือไม่ต้องการข้อเท็จจริงและความเป็นธรรม แต่ต้องการให้คนที่ร้องเรียน “วุ่น” อยู่กับการ “ขึ้นโรงขึ้นศาล” จนไม่กล้าพูดอะไรอีก
18.ชนกลุ่มน้อย 19.ชนพื้นเมือง และ 20.กลุ่มเพศทางเลือก (LGBTQ) นอกจากนี้ สำหรับประเทศไทยมีกติการะหว่างประเทศที่ไปลงนามไว้ 7 ฉบับ คือ 1.อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child-CRC) 2.อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (Convention on the Elimination of All Forms of Discrimination Against Women-CEDAW)
3.กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights-ICCPR) 4.กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (International Covenant on Economic, Social and Cultural Rights-ICESCR) 5.อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ (Convention on the Elimination of All Forms of Racial Discrimination-CERD)
6.อนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (Convention against Torture and Other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment or Punishment-CAT) และ 7.อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิของคนพิการ (Convention on the Rights of Persons with Disabilities-CRPD) ซึ่งจะมีคณะกรรมการจาก UN ติดตามตรวจสอบอยู่เป็นระยะๆ
อย่างไรก็ตาม อาจารย์วิทิต กล่าวถึง “ความท้าทาย” ของสังคมไทยหลายประการ เช่น กฎหมายว่าด้วย “พนักงานรัฐวิสาหกิจ” ไม่อนุญาตให้หยุดงานประท้วง หรือแรงงานที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนยังพบว่าถูกเลือกปฏิบัติ รวมถึง “ข้าราชการ-เจ้าหน้าที่รัฐ” ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ตั้งสหภาพแรงงาน ซึ่งตามหลักเกณฑ์ของ “องค์การแรงงานระหว่างประเทศ” (ไอแอลโอ-ILO) เรียกร้องว่าควรมีสิทธิดังกล่าว
ขณะที่ ประกายรัตน์ ต้นธีรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวว่า โลกยุคปัจจุบันไม่นิยมใช้มาตรการตั้งกำแพงภาษี แต่หันมาตรวจสอบว่าธุรกิจนั้นๆ ไปละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น กดค่าแรง ใช้แรงงานเด็ก ใช้แรงงานไม่มีวันหยุดพักหรือไม่ หากมีชาวโลกก็จะไม่ยอมรับ ทำให้ไม่สามารถค้าขายกับใครได้ และกล่าวด้วยว่า “แม้ภาคธุรกิจเอกชนจะสำคัญ แต่ที่เป็นรัฐวิสาหกิจซึ่งเป็นมือไม้ของรัฐนั้นสำคัญกว่า” ทว่าจากข้อร้องเรียนการละเมิดสิทธิที่ กสม. ได้รับเฉลี่ย 700-800 เรื่องต่อปี มีจำนวนไม่น้อยที่เกี่ยวข้องกับรัฐวิสาหกิจ
โดย “ภาคคมนาคม” ได้รับการร้องเรียนมากที่สุด เช่น รถไฟฟ้าที่คนพิการไม่ได้รับความสะดวกในการใช้ลิฟต์ หรือโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคที่ชุมชนได้รับผลกระทบจากฝุ่นควันและเสียง รองลงมาเป็น “ภาคพลังงาน” เช่น โครงการก่อสร้างแหล่งผลิตหรือลำเลียงพลังงานแล้วต้องโยกย้ายชุมชนออกไป มีการจ่ายค่าเวนคืนเหมาะสมหรือไม่? หรือชาวบ้านโดยรอบรู้สึกกังวลด้านสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ แม้ตัวรัฐวิสาหกิจจะยืนยันว่าได้ปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชนอย่างดี แต่ความท้าทายคือจะสามารถบังคับให้ “บริษัทลูก-ผู้รับเหมาช่วง-บริษัทคู่ค้า”ที่เข้ามาร่วมงานกับรัฐวิสาหกิจปฏิบัติเช่นเดียวกันได้อย่างไร พร้อมกับย้ำว่าอยากให้รัฐวิสาหกิจในฐานที่เป็นตัวแทนของภาครัฐ เป็น “แบบอย่าง” ในการทำธุรกิจที่ไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน พร้อมฝากข้อคิดว่า
ถ้าทำถูกต้องธุรกิจก็ยั่งยืนไม่มีความเสี่ยง แม้ตอนเริ่มต้นจะต้องใช้เวลา ใช้กำลังและทรัพยากรบ้าง!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี