ช่วงหลายปีหลังนี้ ประเทศไทยได้รับการโหวตให้เป็นมหานครแห่ง “สตรีทฟู้ด” (Street Food) หรือเมืองหลวงแห่ง “ร้านอาหารริมถนน” เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่นักท่องเที่ยวต่างประเทศชื่นชอบ “หลายคนกล่าวว่านี่คือเอกลักษณ์ของกรุงเทพฯและประเทศไทยเลยทีเดียว” ทว่าตั้งแต่ภาครัฐ (กรุงเทพมหานครและกองบัญชาการตำรวจนครบาล) มีนโยบายจัดระเบียบสังคมในหลาย ๆ เรื่อง หาบเร่แผงลอยริมถนนและทางเท้าก็ถูกจัดระเบียบไปด้วย และที่น่าเสียดายคือแทนที่จะเป็นการจัดระเบียบอย่างอะลุ่มอล่วย หาทางออกร่วมกัน
"..ภาครัฐกลับเลือกใช้มาตรการที่ค่อนข้างเด็ดขาดคือการยกเลิกจุดผ่อนผันหลายร้อยจุดในระยะเวลาเพียง 2-3 ปี แม้เหตุผลเรื่องความสะอาดและความปลอดภัยของผู้ใช้ทางเท้า รวมทั้งความเดือดร้อนของผู้อยู่อาศัยหรือร้านค้าที่หาบเร่แผงลอยไปตั้งอยู่หน้าร้านจะเป็นเรื่องจริงและเข้าใจได้ว่าต้องได้รับการแก้ไข แต่ก็ต้องพิจารณาถึงประโยชน์ของการมีหาบเร่แผงลอย รวมทั้งผลกระทบต่อชีวิตของเหล่าแม่ค้าพ่อค้าจำนวนเรือนแสน (หรือเรือนล้านถ้าคิดรวมสมาชิกครอบครัวเขาเหล่านั้นด้วย).."
จำนวนผู้ค้าหาบเร่แผงลอยใน กทม.
ภาพประกอบ : http://www.bangkok.go.th/citylaw/page/sub/4043
หาบเร่แผงลอยมีประโยชน์อย่างไร?..เรื่องนี้มีงานวิจัยโดยนักวิชาการของไทยและเทศ (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และองค์กร WEIGO) ทำไว้จำนวนหนึ่ง เช่น “หาบเร่แผงลอยให้ความสะดวกสบายในการซื้อหาและด้วยราคาที่ย่อมเยา” เพียงแค่ออกจากระบบขนส่งมวลชนอย่าง รถเมล์ รถไฟฟ้า ร้านหาบเร่แผงลอยก็มีพร้อมให้บริการในทุกที่ที่มีผู้คนสัญจรไปมา
จากงานวิจัยพบว่า “กลุ่มลูกค้าสำคัญคือ พนักงานออฟฟิศ เจ้าหน้าที่ของรัฐ นักเรียน รวมไปถึงแรงงานที่ได้รับค่าแรงขั้นต่ำ โดยร้อยละ 60 ของประชากรที่มีรายได้ต่ำกว่า 9,000 บาทต่อเดือนจะมีการซื้อของจากร้านหาบเร่แผงลอยทุกวัน” ซึ่งหากร้านค้าหาบเร่แผงลอยหายไป คนกลุ่มดังกล่าวจะต้องซื้ออาหารในราคาที่แพงขึ้น และจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มถึงเดือนละ 357 บาท หรือมากกว่าค่าแรงขั้นต่ำที่พวกเขาได้รับในหนึ่งวัน
นอกจากเรื่องของค่าครองชีพแล้ว “หาบเร่แผงลอยยังมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ” เพราะช่วยดึงดูดผู้คนให้สัญจรผ่านในพื้นที่ดังกล่าว “ทำให้บริเวณนั้นไม่กลายเป็นพื้นที่เปลี่ยว” และภาคธุรกิจใกล้เคียงได้รับประโยชน์ไปด้วย เช่น ในพื้นที่ ปากคลองตลาด การมีอยู่ของร้านหาบเร่แผงลอยที่ขายดอกไม้เป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนและจับจ่ายในช่วงเวลากลางคืน
“..ดังจะเห็นได้จากการยกเลิกพื้นที่ขายดอกไม้บนทางเท้าเมื่อปี พ.ศ. 2559 ส่งผลกระทบต่อยอดขายของภาคธุรกิจในบริเวณดังกล่าวที่ลดจากเดิมมากถึงร้อยละ 70 นอกจากนั้นความคึกคักของทางเดินเท้ายังเป็นการสร้างความปลอดภัยให้กับชุมชน ตัวอย่างเช่นพื้นที่ซอยรางน้ำที่เป็นซอยลึกแต่มีการสัญจรไปมาของผู้คนตลอดเวลา ไม่เปลี่ยวร้าง..”
“ปากคลองตลาด” เป็นย่านจำหน่ายดอกไม้ที่ขึ้นชื่อของกรุงเทพฯ
ภาพประกอบ : http://www.bbc.com/travel/story/20160817-bangkoks-disappearing-street-food
ในด้าน “ผลกระทบต่อชีวิต” ของแม่ค้าพ่อค้าหาบเร่แผงลอยนั้น งานวิจัยของธรรมศาสตร์ พบว่า “มากกว่าร้อยละ 70 ของผู้ค้าเป็นผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี” โดยส่วนหนึ่งเป็นผู้หญิงและ “จบการศึกษาในระดับประถมศึกษาเท่านั้น” ทำให้มีทางเลือกในการประกอบอาชีพอื่นน้อยมาก การยกเลิกจุดผ่อนผันที่ผ่านมาจึงทำให้ชีวิตคนเหล่านี้มีความลำบาก มีหนี้สินเพิ่มขึ้น มีความเครียด อาการทางจิต และมีหนึ่งรายที่ฆ่าตัวตาย (แต่ยังไม่แน่ว่าเป็นผลจากการถูกเลิกขายหรือไม่)
“..ข้อพิจารณาอีกด้านที่ภาครัฐมองข้ามไป คือผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม เนื่องจากจำนวนผู้ค้าหาบเร่แผงลอยที่ถูกยกเลิกการผ่อนผันมีจำนวนมาก กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หายไปจึงน่าจะส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวมเช่นกันและน่าจะเป็นอีกหนึ่งสาเหตุของอาการแข็งบนอ่อนล่าง’ของเศรษฐกิจไทยในระยะนี้ ที่เศรษฐกิจรากหญ้ายังมีความอ่อนแอ ย้อนแย้งกับภาพความเข้มแข็งของกลุ่มที่อยู่ข้างบน เช่น บริษัทส่งออกขนาดใหญ่..”
เมื่อเร็วๆ นี้บริษัทหนึ่งที่ปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่มรากหญ้า ก็ระบุว่าสัดส่วนหนี้เสียในเขตกรุงเทพมหานครสูงกว่าในจังหวัดอื่น คาดว่าส่วนหนึ่งเป็นผลจากนโยบายยกเลิกจุดผ่อนผันหาบเร่แผงลอยนี้นั่นเอง ดังนั้นจึงควรมีการปรับปรุงแนวทางแก้ปัญหาของภาครัฐในเรื่องนี้ ต้องทบทวนมาตรการที่ดำเนินมาแล้ว เช่น “การจัดพื้นที่อื่นมาทดแทนให้ ซึ่งในข้อเท็จจริงพบว่าพื้นที่ดังกล่าวไม่เหมาะสมแก่การประกอบอาชีพ” ทั้งจากค่าเช่าที่เพิ่มสูงขึ้นในกรณีพื้นที่ของเอกชน หรือเป็นทำเลที่ตั้งที่ไม่มีผู้คนสัญจรผ่าน
แนวทางการจัดระเบียบการค้าบนทางเท้า “จึงควรเป็นการจัดระเบียบจริง ๆ คือไม่จำเป็นต้องยกเลิกจุดผ่อนผัน แต่ควรร่วมกันปรึกษาหารือกับผู้ค้าถึงการกำหนดกฎระเบียบและการปฏิบัติตามกฎระเบียบ” โดยระเบียบใหม่ต้องตอบโจทย์ทั้งภาครัฐคือเรื่องความสะอาดและความปลอดภัยของผู้สัญจร (เช่นกำหนดให้ต้องมีช่องว่างอย่างน้อยหนึ่งเมตรบนทางเท้า) และตอบโจทย์ผู้ค้าให้ยังสามารถขายในพื้นที่เดิมได้
"หมดแล้วหนทางทำกิน" : (21 มิ.ย. 2560) ตำรวจ สน.พญาไท นำตัวหญิงสูงวัยรายหนึ่งไปสงบสติอารมณ์ หลังก่อเหตุปีนตึกใช้มีดจี้คอตนเอง บริเวณระเบียงชั้น 2 ของห้างกรุงทอง แขวงถนนเพชรบุรี เขตราชเทวี ซึ่งหญิงรายนี้ให้การว่า เคยขายของอยู่หน้าห้างพันธุ์ทิพย์พลาซ่ามานานหลายปี แต่ต่อมาได้ถูกสั่งห้ามขาย และการไปขายในที่ใหม่รายได้ก็ไม่ดีดังเดิม หาเงินแทบไม่ได้ เดือดร้อนอย่างมากจนเกิดความเครียดและมาก่อเหตุดังกล่าว
ภาพประกอบ : https://www.brighttv.co.th/latest-news/social/81342
ประเด็นสำคัญที่เห็นห่วงกันมากคือ “ผู้ค้าจะสามารถปฏิบัติตามระเบียบได้หรือไม่?” อย่างที่ผู้ว่า กทม. ให้สัมภาษณ์ว่าแค่ 3 วันก็กลับมาวางเกะกะเหมือนเดิม “เรื่องนี้เสนอว่าผู้ค้าต้องมีการรวมตัวเพื่อดูแลควบคุมกันเอง มีการลงโทษผู้ไม่ปฏิบัติตามระเบียบอย่างเคร่งครัด” แบ่งเบาภาระของเจ้าหน้าที่ที่อาจเบื่อหน่ายในการมาไล่จับผู้กระทำผิด “ช่วยกันสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของผู้ค้าหาบเร่” และสร้างความเชื่อมั่นแก่สังคมโดยรวมโดยสรุปการแก้ปัญหาความไม่เป็นระเบียบบนทางเท้าที่เกิดขึ้นในสังคมไทยสามารถทำได้อย่างร่วมด้วยช่วยกัน
ไม่ควร “หักด้ามพร้าด้วยเข่า” จนไปเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้ด้อยโอกาสในสังคม ซึ่งอีกด้านหนึ่งก็เป็น “เสน่ห์” ของกรุงเทพมหานครเช่นกัน!!!
ชาคร เลิศนิทัศน์ , สมชัย จิตสุชน
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี