“มีกรณีหนึ่งซึ่งซับซ้อน เป็นรถบัสขนแรงงานตกถนน แน่นอนมีปัญหาเรื่องเอาเก้าอี้มาเสริมเบาะท้าย แต่ถ้าสังเกตในตำแหน่งหนึ่ง ก่อนเกิดเหตุเส้นทางกำลังปูผิวจราจรพอดี เราก็จะเห็นว่าถนนสูงขึ้น แต่สิ่งที่เห็นว่ามันต่ำลงก็คือตัวราวกันตก ลักษณะนี้มันชี้ว่าทำไมการปูผิวถนนไม่ทำควบคู่ไปกับอุปกรณ์ความปลอดภัย? เราจะพบว่ารากของปัญหามันลึกกว่านั้น คือการดูแลรักษาทางอยู่กับสำนักหนึ่ง แต่การดูแลความปลอดภัยอยู่กับอีกสำนักหนึ่ง แปลว่าหลายพื้นที่จะมีโอกาสที่งบ 2 ก้อนนี้จะมาไม่พร้อมกัน งบปูผิวมาก็ปูไปก่อน งบอุปกรณ์ความปลอดภัยมาค่อยว่ากัน”
เรื่องเล่าจาก นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) เวทีเสวนา “สถาบันเพื่อความปลอดภัยทางถนนที่ประเทศไทยต้องมี” ณ รร.แกรนด์เมอร์เคียว ฟอร์จูน แยกพระราม 9 ยกตัวอย่างอุบัติเหตุที่ปัญหาอาจไม่ได้มาจากผู้ใช้รถใช้ถนนอย่างเดียว แต่ยังมีปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ เช่น สภาพถนน และถ้าไปให้ลึกกว่านั้นอาจเกี่ยวพันกับข้อบกพร่องในระบบราชการ ซึ่งกฎหมายหรือระเบียบที่ติดขัด หากไม่ได้รับการแก้ไข “อุบัติเหตุซ้ำซาก” ในจุดเดิมๆ ย่อมต้องเกิดไม่ช้าก็เร็วขึ้นอยู่กับว่าจะเกิดขึ้นกับใคร
นั่นคือสาเหตุว่าทำไมประเทศไทยต้องมี “หน่วยงานคลังสมอง” หรือสถาบันวิชาการด้านความปลอดภัยบนท้องถนน ดึงผู้เชี่ยวชาญในทุกมิติร่วมทำงาน “สืบสวนเชิงลึก” หาสาเหตุว่าจุดที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง มีอะไรเป็นความเสี่ยงบ้างจนนำไปสู่การแก้ไข ซึ่งไม่ต้องดูประเทศไหนไกลๆ เพียงมองไปที่เพื่อนบ้านทางใต้ที่ติดกันอย่าง มาเลเซีย ก็ยังมีสถาบันวิชาการทำนองดังกล่าว ทำรายงานวิเคราะห์อุบัติเหตุครั้งสำคัญๆ เสนอแนะต่อรัฐบาล และรัฐบาลมาเลเซียก็นำไปใช้ออกนโยบาย
“เคยมีกรณีทัวร์ไทยไปเสียชีวิตที่มาเลเซีย เขาส่งทีมวิชาการจากสถาบันไมรอส (Malaysian Institute of Road Safety Research : MIROS) ลงไปสอบสวน แล้วรายงานที่ออกมาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง 1.กำหนดมาตรฐานรถบัส 2 ชั้น กับ 2.กำหนดเส้นทางห้ามวิ่งมีหลักเกณฑ์ชัดเจน ถามว่าทุกวันนี้บ้านเรามีไหม? มี แต่เป็นหน่วยงานสอบเอง แต่สิ่งที่อาจขาดหายไป 1.ความเป็นอิสระ เพราะถ้าไม่อิสระข้อเสนอก็จะไม่กล้าแตะในเชิงระบบมากกับหน่วยงานภาครัฐ กับ 2.ความเชี่ยวชาญ” นพ.ธนะพงศ์ กล่าว
ซึ่งกรณี “ทำเอง-สอบเอง” หลายครั้งและหลายเรื่องถูกตั้งคำถามจากประชาชนว่า “เชื่อถือได้แค่ไหน?” ดังตัวอย่างที่ ผศ.ดร.ทวีศักดิ์ แตะกระโทก อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร(มน.) กล่าวถึง สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) ที่ก่อนก่อตั้งก็มีคำถามว่า “ซ้ำซ้อนหรือไม่?” เพราะการตรวจสอบพยานหลักฐานต่างๆ ตำรวจก็มีแผนกงานของตนเองอยู่แล้ว
แต่การทำงานคู่ขนานของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กลายเป็น “ตัวกระตุ้น” ให้หน่วยงานตำรวจต้อง “ปรับตัว”ตามไปด้วย จากการสืบสวนสอบสวนแบบเดิมๆ ที่เน้นหาพยานบุคคลเป็นหลัก สู่การแสวงหาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น มีการตั้งอัตรากำลังพลในส่วนผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแขนงต่างๆ แทนที่จะรับแต่บุคลากรด้านกฎหมายอย่างเดียวแบบในอดีต“ทำแบบเก่าไม่ได้เพราะมีหน่วยอื่นรู้ทัน” ไม่เปลี่ยนก็อยู่ยาก
ส่วนสถาบันวิชาการที่ว่านี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร? อาจารย์ทวีศักดิ์ เสนอแนะว่า ในเบื้องต้นหากต้องการความรวดเร็ว กระทรวงคมนาคม ต้องได้รับมอบหมายให้เป็น “เจ้าภาพ” เพราะมีความพร้อมด้านบุคลากรที่สุด เช่นมีผู้เชี่ยวชาญด้านรถยนต์อยู่ในกรมการขนส่งทางบกมีผู้เชี่ยวชาญด้านถนนอยู่ในกรมทางหลวง สามารถดำเนินการได้ทันที และ “ไม่ทำให้เจ้าหน้าที่รู้สึกกังวลใจ” เมื่อเทียบกับการโยกย้ายบุคลากรไปทำงานต่างกระทรวงที่มองว่ากระทบต่ออนาคตทางราชการของตน ส่วนการขยายเป็นหน่วยงานอิสระนั้นค่อยว่ากันที่แผนระยะยาว
“มันเป็นปัญหาของประเทศไทยเอง เราชอบทำงานแต่ไม่ชอบให้คนมาวิพากษ์วิจารณ์งานเรา ฉะนั้นทำเสร็จปิดโครงการ จบ! อย่ามายุ่งกับฉันนะ ฉันไม่ต้องการรู้ว่าที่ฉันทำไปมันเป็นอย่างไร แล้วถ้าไม่มีใครต้องการรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น นโยบายจะเกิดขึ้นได้อย่างไร? เอาแค่เรื่องสวมหมวกกันน็อก นโยบายนี้มีตั้งแต่ปี 2554 ผ่านไป7 ปีแล้วเรายังไม่รู้ว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน เราต้องปลูกจิตสำนึก แล้วอย่างไรต่อ? ต้องใช้ปุ๋ยอะไร? ต้นกล้าแบบไหน? เราจะปลูกมันอย่างไร? แต่ไม่มีคำตอบ เพราะมันลึกและซับซ้อน มันไม่ได้ง่ายๆ อย่างนั้น” อาจารย์ทวีศักดิ์ กล่าว
อีกด้านหนึ่ง นิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา และอดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ให้ความเห็นว่า เรื่องอุบัติเหตุบนท้องถนน “ฝ่ายการเมือง” โดยเฉพาะ “นายกรัฐมนตรี” ต้องลงมาจับงานนี้อย่างจริงจัง แต่ปัจจุบันไม่มีฝ่ายการเมืองเป็นเจ้าภาพ เพราะฝ่ายการเมืองไม่มีความรู้ ซึ่งการจะมีความรู้ได้ก็ต้องมีสถาบันขึ้นมาทำงานด้านวิชาการ
นอกจากนี้ “การมีสถาบันวิชาการด้านความปลอดภัยทางถนน ยังช่วยสื่อสารไปยังสังคม” เช่น สื่อมวลชนสามารถนำผลการศึกษาของสถาบันไปรายงานในเชิง “ชี้นำ” ให้ประชาชนตระหนักถึงความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน และเมื่อประชาชนเห็นความสำคัญมากๆ เข้าก็จะเรียกร้องไปยังรัฐบาลให้ต้องดำเนินการเพื่อให้เกิดความปลอดภัย แต่สื่อมวลชนจะทำเช่นนั้นได้ก็ต้องมีข้อมูลด้วย
อดีต สปท. ผู้นี้ ยังกล่าวถึงสิ่งที่วางรากฐานไว้สมัยเป็น รมช.คมนาคม ช่วงปี 2545-2548 คือขอใช้อำนาจของนายกฯ ในขณะนั้นให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งโดยมีนายกฯ หรือรองนายกฯ คนหนึ่งเป็นประธาน เพราะก่อนหน้านั้นทดลองมาแล้วทั้งการทำโดยกระทรวงคมนาคมเพียงกระทรวงเดียว รวมถึงไปชวนกระทรวงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น มหาดไทย สาธารณสุข มาร่วมก็ไม่สามารถลดจำนวนผู้เสียชีวิตบนท้องถนนได้ จนต้องเปลี่ยนเป็นคณะกรรมการบริหารแบบเบ็ดเสร็จ หรือ “ซิงเกิล คอมมานด์” (Single Command) ใช้งบประมาณจากส่วนกลาง
ซึ่งปี 2546 ที่ประเทศไทยต้องการลดจาก 22.2ให้เหลือไม่เกิน 20 ต่อแสนประชากร ในปี 2551 พบว่าทำได้เหลือ 18 จากนั้นพอปี 2552 ก็เตรียมวางแผนขยายผลลงไปถึงระดับจังหวัด แต่น่าเสียดายที่ในปี 2554 “ไม่ทราบเหตุผลว่าเปลี่ยนเพราะอะไร?” มีการออกแบบใหม่จากระบบบริหารเบ็ดเสร็จกลับไปแยกกันทำงาน โครงสร้างมีรองนายกฯพร้อมคณะรัฐมนตรีเป็นแผง แล้วก็แยกหน่วยปฏิบัติ ซึ่งถูกพิสูจน์มาแล้วว่า “ล้มเหลว” รัฐมนตรีก็คุมข้ามกระทรวงไม่ได้ เช่น เคยมีกรณีกระทรวงมหาดไทยเถียงกับกระทรวงสาธารณสุขว่าตัวเลขคนตายมีเท่าไรกันแน่
“ศูนย์ปลอดภัยทางถนนที่จัดตั้งขึ้นมา ผมเป็นรองประธาน มีรัฐมนตรีเปลี่ยนกันมาแถลง กลายเป็นรัฐมนตรีมหาดไทย ต่อจากนั้นก็กลายเป็นปลัดเป็นแผงเลย รัฐมนตรีไม่มีแล้ว เลขาฯก็เป็นอธิบดีป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) มันก็กลับไปรูปเดิมที่มันไม่เคลื่อน แล้วหลัง 2554 ก็มีปัญหาอีก เราไปตรวจสอบพบว่า 3 ปีไม่มีการประชุม” อดีต สปท.ระบุ
และเพราะความสนใจของฝ่ายการเมืองเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นนอกจากรัฐบาลปัจจุบันแล้ว เนื่องในห้วงเวลานี้ที่ใกล้เข้าสู่การเลือกตั้ง หากไม่มีการเลื่อนอีกก็น่าจะไม่เกินเดือนก.พ. 2562 นิกร ก็ฝากไปยังพรรคการเมืองต่างๆ ด้วยว่า อยากให้เตรียมนโยบายป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนนไว้
หากได้รับเลือกตั้ง...จะลดอัตรา “เจ็บ-ตาย-พิการ”บนถนนของคนไทยอย่างไร?
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี