จากความโกลาหลจาก 2 ระเบียบดังกล่าว คำชี้แจงต่อบุคลากรและสาธารณชน ก็ยากต่อความเข้าใจการทำความเข้าใจต่อเรื่องกฏระเบียบนี้ จึงมีความจำเป็นต้องขยายให้พี่น้องที่ติดตามเรื่องนี้ฟังว่าทำไมต้องแก้ไขปรับปรุง แต่รายละเอียดมีมากจึงต้องแบ่งเป็นตอนๆ Focus ต่อความเข้าใจแต่ละประเด็นจะได้ไม่หลุด จะได้คุยกันอย่างอารยชน ไม่ใช้อารมณ์กัน เริ่มตั้งแต่..
1.รายรับมี 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ 1.1 เงินงบประมาณ จะระบุโครงการชัดเจนเอาไปใช้นอกเหนือรายละเอียดโครงการไม่ได้ 1.2 เงินนอกงบประมาณ คือนอกจากข้อ 1.1 นั่นเอง และยังแบ่งเป็น 2กลุ่มย่อยคือ (1) เงินบริจาคระบุวัตถุประสงค์ (2)ทั้งหมดนอกเหนือ 1.2 (1)
2.รายรับปกติในอดีตต้องนำส่งคลังทั้งหมด เช่นเงินจัดเก็บภาษี แม้กระทั่งเงินที่เกิดจากการรักษาพยาบาล รวมถึงเงินบริจาค เป็นต้น จนกระทั่ง อาจารย์ นพ.เสม พริ้งพวงแก้ว อดีตรัฐมนตรีว่าการสาธารณสุข (สธ.) ที่ถึงแก่อสัญกรรมไปแล้ว เมื่อครั้งถูกส่งประจำที่สุขศาลาที่เชียงราย “ท่านเห็นว่าระเบียบนี้ไม่ยืดหยุ่นต่อประชาชน งบประมาณของรัฐมีไม่เพียงพอ” ประชาชนในพื้นที่ศรัทธาท่านมาก จึงอยากบริจาคเงินคนละเล็กละน้อยให้โรงพยาบาลรัฐ เพื่อเอากลับมาสร้างโรงพยาบาลและปรับปรุงการให้บริการสำหรับประชาชนเชียงรายเอง
“ระเบียบเดิมไม่ยืดหยุ่นพอ บริจาคไปเงินก็ต้องส่งกลับคืนคลัง ไม่สามารถนำกลับมาสร้างโรงพยาบาลคืนสู่ประชาชนเชียงรายได้ พ่อเสม จึงได้คุยกับรัฐมนตรีคลังสมัยนั้น จนได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำเงินบริจาคส่งคลัง พ่อเสมจึงสร้างโรงพยาบาลเชียงรายได้จากเงินบริจาค จึงตั้งชื่อเป็นโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ เพราะใช้เงินจากประชาชนมาสร้างโรงพยาบาลนั่นเอง”
นี่จึงเป็น “ปฐมบท” ที่ พ.ร.บ.งบประมาณปี 2502 บัญญัติในมาตรา 24 วรรค 4 และวรรค 5 ให้แต่ละกระทรวงสามารถออกระเบียบเงินบำรุง โดยสามารถนำรายได้ไปใช้จ่ายได้โดยไม่ต้องนำส่งคลังก็ได้ แต่ใช่ว่าจะวางระเบียบได้ง่ายๆ ทุกระเบียบที่เกี่ยวกับการเงินต้องได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเสียก่อน จนเป็นที่มาของระเบียบเงินบำรุงฉบับหลักๆ 4 ฉบับต่อเนื่องกัน ดังนี้
1.ฉบับปี 2518 ถือเป็นฉบับแรกของระเบียบเงินบำรุง แก้ไขเล็กน้อยในปี2520 (ฉบับ2) และในปี 2523 (ฉบับ3) 2.ฉบับปี 2527 แก้ไขเล็กน้อยปี 2535 (ฉบับ2) 3.ฉบับปี 2536 แก้ไขเล็กน้อยปี 2544 (ฉบับ2) จริงๆฉบับนี้ถึงแม้จะแก้ไขเล็กน้อย แต่ผลกระทบใหญ่มากๆ คือสามารถใช้เงินบำรุงจ้างลูกจ้างชั่วคราวได้นั่นเอง โดยไม่ต้องขอทำความตกลงสำนักงบประมาณก่อน(ขออนุมัตินั่นเอง และแก้ไขเล็กน้อยอีกในปี2556 ปีนี้มีแก้ไขจำนวน2ครั้ง (ฉบับ3,4)
และ “4.ปี 2561 ฉบับที่กระทรวง สธ. ที่ผู้บริหาร สธ. รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ยอมยกเอาเอกราชกลับคืนไปให้กระทรวงคลังอีกครั้ง” นี่จึงเป็นประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่อยากชี้ให้เห็นว่า พ่อเสม พริ้งพวงแก้ว เป็นปูชนียบุคคลท่านแรกที่ปฏิรูประบบเงินบำรุง จนทำให้ รพ.ในสังกัด สธ. สามารถนำเงินบำรุงมาพัฒนาปรับปรุงระบบริการเป็นที่พึ่งกับประชาชนได้อย่างมากมายจวบจนทุกวันนี้ โดยสาระสำคัญคือ “เงินบริจาคที่ระบุวัตถุประสงค์ ไม่ถือเป็นรายได้เงินบำรุง” เพราะผู้บริจาคระบุวัตถุประสงค์มาแล้ว
ในปี 2544 ถึงแม้จะเป็นการแก้ไขจากระเบียบเงินบำรุง ฉบับปี 2536 แต่ได้ปฏิรูปครั้งสำคัญเรื่องให้สามารถใช้เงินบำรุงจ้างลูกจ้างชั่วคราวได้ เพื่อแก้ปัญหาความขาดแคลนบุคลากร และสามารถตอบสนองหน้างานได้ทันต่อการปฏิรูปหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
ที่ต้องแข่งขันกับภาคเอกชน และตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน!!!
ชมรมแพทย์ชนบท
ขอบคุณบทความและภาพจาก : https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=2176647422362403&id=142436575783508
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี