วันพฤหัสบดี ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2568
ไม่นานนี้ “ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย” ได้รับความสนใจเป็นวงกว้างจากละครโทรทัศน์ ที่เมื่อเริ่มฉายตอนแรกถึงตอนจบ ทุกภาคส่วนต่างขอมีส่วนร่วมด้วย เช่น ภาคเอกชนการนำเนื้อเรื่องหรือถ้อยคำในละครไปประกอบโฆษณาสินค้า ภาครัฐที่เชิญชวนแต่งชุดไทยไปชมโบราณสถาน จนทำให้จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนืองแน่นไปด้วยบรรดา “แม่หญิง-ท่านหมื่น” และภาควิชาการที่จัดเสวนาให้ความรู้ด้านประวัติศาสตร์อาณาจักรอยุธยาในรัชสมัย สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ห้วงเวลาอันเป็นฉากหลังของละครดังกล่าว
วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) ก็เป็นอีกองค์กรที่ร่วมให้ความรู้กับประชาชนด้วยเช่นกัน โดยจัดเสวนาเรื่อง “ฟังประวัติศาสตร์ กับงานวิศวกรรมสมัยขุนหลวงนารายณ์” พาผู้ฟังย้อนเวลาไปเมื่อ 362 ปีก่อน หรือในปี 2199 อันเป็นปีแรกในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช “ยุคทอง” ของอาณาจักรอยุธยา ถึงขั้นที่ชื่อเสียงด้านความมั่งคั่งขจรขจายไปไกลถึงทวีปยุโรป อีกทั้งยังเป็นยุคสมัย “เปิดกว้าง” ให้ชาวต่างชาติจากทั่วสารทิศเข้ามารับราชการช่วยพัฒนาบ้านเมือง
รศ.ดร.สุทัศน์ ลีลาทวีวัฒน์ ประธานคณะอนุกรรมการสาขาโครงสร้างเหล็ก วสท. กล่าวถึงภูมิปัญญาด้านการก่อสร้างของไทยว่า คนไทยเรียนรู้การผลิตอิฐมาใช้ในการก่อสร้างมาช้านาน การผลิตอิฐนั้นจะต้องเลือกดินที่ไม่มีวัสดุอย่างอื่นปะปน เช่น ทราย หรือเศษไม้ แล้วจึงนำมานวด เพื่อให้เนื้อดินมีการผสมผสานตัวเข้ากันได้ดี ในระยะแรกของการทำให้อิฐให้มีรูปแบบตามต้องการจะอาศัยใช้การปั้นด้วยมือ
ต่อมาจึงอาศัยการอัดเข้าแบบพิมพ์แทน แล้วตากแดดให้แห้งสนิท นำมาตกแต่งส่วนที่ขาดเกิน การเผาอิฐถือว่าเป็นขั้นตอนสุดท้ายในยุคสมัยก่อนโดยการนำดินที่ตากแห้งแล้วมาวางเรียงกัน แล้วใช้แกลบโรยลงในระหว่างแถวเพื่อให้ความร้อนกระจายได้ทั่วถึง และจะมีการเติมแกลบลงไป วิธีการเผาอิฐอีกแบบหนึ่งคือการใช้ท่อนไม้ฟืนมาทำเป็นเชื้อเพลิงในการเผา การนำอิฐมาสร้างโบราณสถานต่างๆ ในอดีตใช้วัสดุเชื่อมที่ทำมาจากเปลือกหอย น้ำอ้อย กาวหนังสัตว์ อิฐแต่ละก้อนสามารถต่อกันได้อย่างแข็งแรง
“จะเห็นว่าการก่อสร้างในสมัยก่อน ใช้องค์ความรู้ต่างๆมากมายที่ประกอบกันขึ้นเป็นโบราณสถาน ที่ซ่อนไปด้วยความรู้ทางคณิตศาสตร์ สถาปัตยกรรม และวิศวกรรมศาสตร์ ภูมิปัญญาของคนในอดีตที่บางทีเราก็ไม่อาจจะเข้าใจในวิธีคิดของพวกเขาได้อย่างแจ่มแจ้งพระปรางค์ประธานที่วัดไชยวัฒนาราม ทำมุขทิศยื่นออกมามากกว่า บนยอดองค์พระปรางค์ใหญ่อาจเคยประดิษฐานพระเจดีย์ขนาดพระอุโบสถ ปัจจุบันเหลือแต่ฐานเท่านั้น” ประธานคณะอนุกรรมการสาขาโครงสร้างเหล็ก วสท. กล่าว
ขณะที่ ดร.ธเนศ วีระศิริ นายกวสท. เล่าถึงการก่อสร้างที่น่าทึ่ง ณ เมืองลพบุรี ในแผ่นดินสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเป็นต้นกำเนิดของ “ระบบการส่งน้ำด้วยท่อดินเผา”ใช้ท่อดินเผาทรงกระบอกมาต่อกัน นำน้ำสะอาดจาก 2 แหล่ง มาใช้ในพระราชวัง ได้แก่ น้ำจากทะเลชุบศร โดยต่อท่อผ่านประตูน้ำปากจั่นไหลลงมายัง สระแก้ว (เก่า) แห่งที่ 1 ที่ปัจจุบันอยู่ในบริเวณสวนสัตว์สระแก้ว จ.ลพบุรี และมีการต่อท่อมายังสระแก้วแห่งที่ 2 คือวงเวียนสระแก้ว (วงเวียนศรีสุริโยทัย) มีการวางท่อน้ำตรงเข้าสู่ตัวเมืองลพบุรี
กับ น้ำจากห้วยซับเหล็ก แหล่งน้ำที่ไหลลงมาจากซอกเขาที่อยู่ในระดับสูงเนื่องจากระยะทางต้นน้ำค่อนข้างไกลมากจึงแบ่งดำเนินการเป็น 2 ช่วง ช่วงแรกทำเป็นลำรางชักบังคับน้ำจากลำห้วยซับเหล็ก จนถึงบริเวณท่าศาลา ช่วงที่ 2 จากท่าศาลาถึงตัวเมืองลพบุรี ระหว่างเส้นแนวท่อน้ำเข้าสู่เมืองลพบุรี มีการสร้างท่อ (ปล่อง) ระบายความดันน้ำไว้เป็นระยะ ๆ เพื่อใช้เป็นจุดผ่อนคลายแรงดันของน้ำในฤดูที่มีน้ำมาก กระแสน้ำจะไหลแรง ป้องกันมิให้แรงดันของน้ำสูงเกินไปจนเกินกำลังของท่อดินเผา
ด้าน รศ.เอนก ศิริพานิชกรประธานคณะกรรมการสาขาวิศวกรรมโยธา วสท. ยกตัวอย่าง พระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์ เป็นพระราชวังที่ประทับของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ณ เมืองลพบุรี ออกแบบโดยวิศวกรชาวฝรั่งเศส ลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นแบบไทยผสมตะวันตก กำแพงพระราชวังก่ออิฐถือปูน กำแพงชั้นนอกสูงสง่าโดยรอบ มีใบเสมาเรียงรายบนสันกำแพงตลอด ตรงฐานของป้อมปืนแต่ละป้อมเจาะเป็นช่องกลมเพื่อเสียบปืนใหญ่ กำแพงด้านในเจาะเป็นช่องสำหรับตามประทีปยามค่ำคืน มีป้อมปืน 7 ป้อม และประตูโค้งใหญ่ 11 ประตู
เขตพระราชฐานชั้นนอก มีสิ่งก่อสร้าง 5 หลัง 1.อ่างเก็บน้ำ หรือถังเก็บน้ำประปา เป็นฝีมือการก่อสร้างของวิศวกรชาวฝรั่งเศสและบาทหลวงชาวอิตาลี 2.สิบสองท้องพระคลัง ลักษณะเป็นอาคารทรงตึกแบบยุโรป ประตู หน้าต่าง และช่องระบายลมใต้หลังคาเป็นรูปโค้งแหลม 3.ตึกเลี้ยงรับรองแขกเมือง อาคารทรงตึกแบบยุโรป มีคูน้ำล้อมรอบอาคาร ประตู หน้าต่าง และช่องระบายลมใต้หลังคาเป็นรูปโค้งแหลม
4.ตึกพระเจ้าเหา สันนิษฐานว่าเป็นหอพระประจำพระราชวัง เป็นอาคารทรงตึกแบบยุโรป ผสมผสานไทย ประตูหน้าต่าง ประดับลวดลายปูนปั้นที่ซุ้มเรือนแก้วและฐานเท้าสิงห์แบบไทย สมเด็จพระเพทราชา ทรงประกาศยึดอำนาจจากสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ณ ตึกนี้เมื่อปี 2231 ก่อนสถาปนาราชวงศ์บ้านพลูหลวงในเวลาต่อมา และ 5.โรงช้างหลวง
ส่วน เขตพระราชฐานชั้นกลางมีสิ่งก่อสร้าง 2 หลัง ได้แก่ 1.พระที่นั่งจันทรพิศาล เป็นที่ประทับออกว่าราชการแผ่นดินและประชุมองคมนตรี ปัจจุบันจัดแสดงเป็นห้องเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนารายณ์มหาราช 2.พระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญมหาปราสาท เป็นที่เสด็จออกต้อนรับคณะราชทูตต่างประเทศ ลักษณะเป็นอาคารทรงตึกแบบยุโรป ผสมผสานกับแบบไทย ด้านหน้าเป็นท้องพระโรง
ผนังภายในเดิมประดับด้วยกระจกเงาจากประเทศฝรั่งเศส ตามมุมประดับด้วยทองลูกบวบ ดูโอ่อ่าวิจิตรตระการตา ด้านหลังเป็นอาคารทรงสูงหลังคาเป็นทรงมณฑปยอดแหลม เรียกว่า “มหาปราสาท” ตรงกลางมีสีหบัญชรที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้เสด็จออกรับคณะราชทูต และเขตพระราชฐานชั้นใน มีสิ่งก่อสร้าง 1 หลัง ได้แก่ พระที่นั่งสุทธาสวรรย์เป็นอาคารทรงตึกแบบยุโรป มุงกระเบื้องเคลือบสีเหลือง เป็นที่ประทับส่วนพระองค์ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และทรงเสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งองค์นี้
“หลายสิ่งน่าทึ่งในงานวิศวกรรมในแผ่นดินขุนหลวงนารายณ์ อาทิ การเรียงก่ออิฐ การทำรูปโค้ง ช่องเปิดช่องหน้าต่าง ทั้งๆ ที่ไม่มีคาน ไม่มีเหล็ก รวมไปถึงวิวัฒนาการระบบประปา โดยใช้แรงดันอากาศในการส่งน้ำ เป็นต้น” รศ.เอนก ระบุ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี