"จะมีการเลือกตั้งตามโรดเมปหรือไม่?" เป็นคำถามที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เพราะหากกางปฏิทินดูอีกประมาณ 8-9 เดือนก็จะเข้าสู้กระบวนการเลือกตั้ง ตามที่คณะรักษาความสงบความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้กำหนดปฏิทินคราวๆ มาว่าจะมีการเลือกตั้งแน่ๆ ภายในเดือน ก.พ.2562 และหากมีการเลือกตั้งขึ้นมาในเวลาดังกล่าวจริงการเมืองไทยจะไปในทิศทางไหนจะกลับมาเหมือนเดิมหรือไม่
"ทีมข่าวแนวหน้าออนไลน์" จึงได้ติดต่อไปยังนายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะที่เคยมีประสบการณ์จัดการเลือกตั้งที่ผ่านมา และวิจารณ์การเมืองไทยในช่วงปัจจุบันว่าการเมืองจะกลับมาเป็นแบบเดิมหรือไม่
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร เปิดเผยกับทีมข่าวแนวหน้าออนไลน์ว่า ขณะนี้กำลังเดินหน้าเข้าสู่การเลือกตั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้สัญญาไว้ แต่ว่าการเข้าสู่การเลือกตั้งนั้นทุกพรรคทุกฝ่ายก็หวังที่จะชนะ และมองการเลือกตั้งเป็นโอกาสรวมถึงยังมองว่าการเลือกตั้งเป็นโอกาสที่จะทำให้ตัวเองได้เปลี่ยนสถานะทางการเมืองด้วย ดังนั้น ตระกะวิธีการคิดและการออกแบบวิธีการทำกิจกรรมต่างๆ ของแต่ละฝ่ายจะมุ่งไปสู่การชนะ พรรคการเมืองแต่ละพรรคก็จะมีมุมมองต่างกัน มีวิธีการคิดที่แตกต่างกัน
เผยโพลล์ยังชี้"พท."ได้คะแนนมากสุด
นายสมชัย วิเคราะห์ว่า หากมีการเลือกตั้งสำหรับ "พรรคเพื่อไทย (พท.)" นั้นคงต้องคิดวิธีที่จะทำอย่างไรให้ได้คะแนนแบบถล่มทลาย เพราะโพลล์ต่างๆ แสดงให้เห็นว่า พรรคเพื่อไทย ก็ยังคงเป็นพรรคที่ได้คะแนนเสียงมากที่สุด ทำให้เกิดการเกาะกลุ่มของนักการเมืองที่เป็นอดีต ส.ส.ของพรรคไม่ผันแปลออกไป ซึ่งเป็นกลยุทธ์ของพรรคเพื่อไทยที่จะต้องดำเนินการ
"ปชป."เริ่มมีปัญหาไม่ได้อันดับ 1 แน่
ส่วน "พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.)" คงประเมินแล้วว่าไม่น่าจะได้คะแนนเป็นอันดับ 1 แน่ แต่การคงเสถียรภาพของพรรค และยังคงมีคะแนนที่ยังไม่น้อยเกินไป น่าจะเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญของพรรค เพราะถ้าหากถูกแย่งคะแนนเสียงไป โดยการที่ ส.ส.ถูกดึงออกไปจากพรรคจะทำให้พรรคดังกล่าวลดน้อยถอยลง ซึ่งตนคิดว่าพรรคประชาธิปัตย์ เริ่มมีปัญหา เกี่ยวกับคนเริ่มไม่มั่นใจว่าจะได้ ส.ส.กลับมาหรือไม่ ดังนั้น อาจจะมี ส.ส.ที่แตกกลุ่มออกไปบ้าง
ฉะนั้น เป็นโจทย์ยากของพรรคประชาธิปัตย์ว่าจะทำอย่างไรที่จะให้ ส.ส.เดิมอยู่กับพรรคให้ได้ เพราะว่าพรรคที่มีอุดมการณ์ที่คลายกับพรรคประชาธิปัตย์มีอีกมาก โจทย์ของพรรคประชาธิปัตย์จะยากกว่าพรรคเพื่อไทย เพราะพรรคเพื่อไทยสามารถดึงคนเก่าอยู่ได้ แต่พรรคประชาธิปัตย์ ในขณะที่อยู่ในอันดับ 2 อยู่แล้ว แต่กลับไม่สามารถดึงคนเก่าให้อยู่ได้ เนื่องจากคนเก่าก็พร้อมที่จะไปอยู่พรรคใหม่ๆ พรรคประชาธิปัตย์ควรที่จะหาตัวตายตัวแทนที่มีชื่อเสียง และมีประสิทธิภาพเพียงพอ เพื่อที่จะลงสมัครที่มีคุณสมบัติไม่แพ้คนเก่าที่ออกไป ถือว่าเป็นโจทย์ยากของพรรคประชาธิปัตย์
"พรรคขนาดกลาง" ต้องคิดหนักแน่นอน
นายสมชัย วิเคราะห์ต่อว่า ส่วนพรรคขนาดกลาง จะเห็นได้ว่าความยากของพรรคขนาดกลางในการแข่งขันค่อนข้างจะยาก และเป็นโจทย์ยากที่จะทำอย่างไรให้ได้คะแนนรวมทั่วประเทศ เนื่องจากพรรคจะได้ ส.ส.ในท้องถิ่น หรือบางจังหวัดเท่านั้น เพราะพรรคขนาดกลางเกิดขึ้นจากภูมิภาคนิยม หรือจังหวัดนิยม เช่น จ.ชลบุรี สุพรรณบุรี สุโขทัย และนครราชสีมา จึงเป็นโจทย์ของพรรคขนาดกลาง
ในส่วนของ ส.ส.เขตของจังหวัด ที่มีคะแนนเสียงอยู่ก็ไม่น่าจะมีปัญหา แต่ว่าระบบการเลือกตั้งที่ออกแบบใหม่ การมีคะแนนนิยมเพียงแค่จังหวัดเดียวไม่พอ จะต้องได้คะแนนเสียงจากทุกจังหวัดด้วย เพื่อที่จะเอามารวมกับคะแนน ส.ส.บัญชีรายชื่อ จากเดิมนึกว่าจะเป็นประโยชน์กับพรรคขนาดกลาง แต่ท้ายสุดพรรคขนาดกลางเสียเปรียบในเรื่องนี้ ถ้าไม่สามารถส่งได้ทุกจังหวัด หรือทั่วประเทศ ก็จะทำให้ ส.ส.บัญชีรายชื่อน้อยลง
"พรรคใหม่" ต้องเร่งสร้างความน่าเชื่อถือ
ส่วนพรรคที่จดจัดตั้งใหม่ เช่น พรรคอนาคตใหม่ พรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) เป็นต้น จะต้องสร้างความน่าเชื่อถือให้กับประชาชนในวงกว้าง รวมถึงจะต้องคัดสรรผู้สมัครที่มีชื่อเสียงที่มาจากพรรคเก่า ซึ่งโจทย์ของพรรคจัดตั้งใหม่นั้น หากจะสร้างชื่อในวงกว้างทำไม่ยาก สามารถเผยแพร่สื่อต่างๆ ได้ทางโซเชียล แต่การหาคนที่มีชื่อเสียงและลงสมัครในแต่ละเขตนั้นยากกว่า แต่วิธีที่จะทำได้ คือ ต้องไปดึงคนจากพรรคขนาดกลาง หรือพรรคใหญ่เข้ามา หากจะลงสมัครใหม่เลยเป็นเรื่องที่ยากมาก หากไปดึง ส.ส.ระดับจังหวัดเข้ามา ถามว่าโอกาสชนะจะมีหรือไม่ ตอบว่ามีถ้ากระแสกว้างพอ
ฉะนั้น จะทำอย่างไรที่จะสร้างกระแสความนิยมจริง สำหรับพรรคใหม่นั้นยังไม่ถึงขั้นที่จะส่งใครสมัครก็ได้ เพราะบางพรรคยังมีกระแสในเชิงต่อต้าน ถือว่าเป็นอุปสรรคที่จะสร้างกระแสความนิยมของพรรค หมายถึงรวมกันแล้วอาจจะได้ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ แต่ไม่สามารถจะได้ ส.ส.แบบแบ่งเขต
เชื่อยัง "น้ำเน่า-ระบบอุปถัมภ์" เหมือนเดิม
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร เปิดเผยกับทีมข่าวแนวหน้าออนไลน์อีกว่า "ระบบการเลือกตั้งยังผูกขาดกับหัวคะแนนอยู่ และยังสำคัญในการที่จะได้คะแนนเสียงจากการเลือกตั้ง ทุกวันนี้การซื้อเสียงไม่ได้เกิดขึ้นในวันเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว แต่จะเป็นระบบแบบช่วยเหลือเกื้อกูลกันตลอดเวลา และเป็นเวลานาน โดยพรรคการเมืองเข้าไปช่วยเหลือประชาชนทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นงานศพ งานบวช หรือแม้กระทั้งช่วยเหลือลูกตอนที่จะเข้าโรงเรียน สิ่งเหล่านี้นักการเมืองได้สร้างระบบอุปถัมภ์ขึ้นมา จึงเป็นเรื่องยากที่นักการเมืองใหม่ๆ หรือพรรคการเมืองใหม่ๆ จะเข้าไปแทรกได้"
ลุ้นการเลือกตั้งเป็นไปตามโรดแมปหรือไม่
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กล่าวอีกว่า อย่างที่ตนเคยวิเคราะห์ไปแล้วว่า กกต.จะต้องเฉือนเวลาของตัวเองให้น้อยลง ไม่รู้ว่า กกต.จะยอมหรือไม่ แต่ปัญหาของกกต.อยู่ที่การแบ่งเขตต่อเมื่อกฎหมาย ส.ส.บังคับใช้ ฉะนั้นการต่อรองของ กกต. คือวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ออก พ.ร.ป.ว่าด้วย ส.ส. หากขอแบ่งเขตตอนนั้นเลยจะทำให้การเลือกตั้งเร็วขึ้น ถ้าหากทำไม่ได้อย่าหวังว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในเดือน ก.พ.62 การแบ่งเขตต้องใช้เวลาอย่างน้อย 60 วัน กกต.สามารถนำการแบ่งเขตภายใน 60 วัน ไปใส่ไว้ในเวลา 90 วันได้ แต่ต้องไปหาวิธีแก้กฎหมาย เพื่อที่จะให้ดำเนินการได้เลยทันที หลังจากที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
นายสมชัย ยังกล่าวปฏิเสธที่จะตอบคำถามที่ว่า หากมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น แต่ยังมีความขัดแย้งกันในมุมมองความคิดจะเกิดเหตุการณ์รัฐประหารขึ้นอีกหรือไม่
ส่วนการเมืองไทยในอนาคตจะกลับมาเหมือนเดิมหรือไม่นั้น นายสมชัย กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับปัจจัยในการเลือกตั้ง ว่าผลจะออกมาอย่างไร ประชาชนจะเป็นฝ่ายตัดสิน และกำหนดทิศทางทางการเมืองไทยในอนาคต เพราะหากประชาชนตั้งทิศทางไว้อย่างไรการเมืองไทยก็จะออกมาอย่างนั้น และมีผลว่าจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน ซึ่งจะต้องรอดูผลเลือกตั้งว่าจะออกมาอย่างไร ถ้าหากยังไม่ปลดล็อคทางการเมือง ก็ยังไม่รู้ว่าจะไปทางไหน หรือมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร การปลดล็อคถือว่าเป็นเรื่องสำคัญทางการเมือง
ชี้พรรคการเมืองใหม่หนุนลุงตู่ ยังเลื่อนลอย
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กล่าวต่ออีกว่า สำหรับพรรคที่จะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี พอถึงเวลาจะเอาชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ไปหาเสียง แต่การเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เสนอได้เพียงพรรคเดียวเท่านั้น ส่วนที่ออกมาบอกว่าสนับสนุนก็ยังไม่เป็นทางการ และไม่ได้มีน้ำหนักที่จะมาใช้ในการตัดสินใจเลือก เพราะเป็นเพียงเรื่องเลื่อนลอย พอถึงเวลาจริงจะสนับสนุนหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่พรรคที่บอกว่าจะสนับสนุนแน่นอนนั้นความน่ากลัวอยู่ที่ว่าหากพรรคไหนเสนอชื่อคนที่จะเป็นนายกฯ ไปแล้ว 3 ชื่อ จะต้องโหวตในสภารอบแรก หากคะแนนเสียงออกมาน้อย ความชอบธรรมที่เสนอชื่อขึ้นไปก็จะหายทันที
"ทั้งนี้ ถ้าสภาไม่สามารถหาคนเป็นนายกรัฐมนตรีได้ก็จะเป็นโอกาสของผู้ที่เข้ามาแก้สถานการณ์ โดยเสนอชื่อเป็นนายกฯคนนอกในรอบที่สองได้ ซึ่งอยู่ที่ผลคะแนนโหวตครั้งแรกจะชนะหรือไม่ แต่ก็ยังมีโอกาสแพ้ หรือจะเลือกทางออกที่ 2 แล้วชนะ ก็ยังมีจุดอ่อน เพราะไม่แน่ว่าจะไปถึงทางออกที่ 2 หรือไม่ อาจจบตั้งแต่โหวตครั้งแรก ก็จะไม่ได้เป็นนายกฯ ซึ่งเห็นว่าเขาจะเลือกทางเลือกแรก อย่างไรก็ตาม จะต้องลุ้นเอาว่าจะเป็นไปในทิศทางอย่างที่ตั้งไว้หรือไม่" นายสมชัย กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี