พังงา ไม่ได้มีดีแค่ทะเล แบกเป้สัมผัสวิถีชุมชนแบบกรีนๆ ก็เก๋ไม่แพ้กัน ครั้งนี้แนวหน้าออนไลน์ขอพาทุกคนไปเที่ยวชมอีกแง่งามของจังหวัดพังงา กับทริปส่งท้ายการเที่ยวกันแบบรักษ์ธรรมชาติ รักษ์โลก รักษ์สิ่งแวดล้อมกัน ในทริป 7 Greens Turismo ที่รายการสมุดโครจร ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สร้างสรรค์กิจกรรมดีๆ นี้ขึ้นมา
ก่อนอื่นเราต้องรู้กันก่อนว่าการเที่ยวแบบ 7 Greens คืออะไร การเที่ยวแบบเซเว่นกรีนคือ การนำกรีนดังต่อไปนี้ GreenHeart เที่ยวด้วยใจคิด เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ต้องมีหัวใจที่เคารพ และตระหนักถึงคุณค่าของสิ่งแวดล้อม GreenLogistics เที่ยวใกล้ไกลเลือกใช้พลังงานสะอาด ผ่านรูปแบบการเดินทางสีเขียว เน้นการประหยัดพลังงาน GreenAttraction มุ่งสร้างชุมชนให้เข้มแข็งและยั่งยืน แหล่งท่องเที่ยวสีเขียว มีการบริหารจัดการการท่องเที่ยวกับสภาพดั้งเดิมของพื้นที่นั้นไว้ได้ GreenActivity กิจกรรมท่องเที่ยวเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม GreenCommunity ชุมชนสีเขียว เที่ยวอย่างรู้คุณค่า รักษาเอกลักษณ์ชุมชน เน้นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม คงไว้ซึ่งวัฒนธรรมวิถีชีวิตอันเป็นอัตลักษณ์ของชุมชน GreenService จัดการธุรกิจ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ใส่ใจธุรกิจท่องเที่ยวแขนงต่าง ๆ เลือกใช้วัตถุดิบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และ GreenPlus จิตอาสาดูแลสิ่งแวดล้อม นับเป็นการช่วยเหลือแหล่งท่องเที่ยวง่าย ๆ ด้วยตัวของนักท่องเที่ยวเอง รูปแบบใดรูปแบบหนึ่งมาปรับใช้กับการท่องเที่ยวในแต่ละครั้ง ไม่ว่าจะเที่ยวทะเล ปีนเขา ขึ้นเหนือล่องใต้ ใช้กับทริปไหนก็เวิร์คสุดๆ เที่ยวสนุกแถมดีต่อโลกในระยะยาว
หากคุณมาถึงภาคใต้ที่ขึ้นชื่อว่าฝนแปดแดดสี่อย่าได้กลัวเปียก ไม่รอช้าขอพาทุกคนฝ่าสายฝนไปชมความงามของสถานที่แรก นั่นก็คือ เมืองตะกั่วป่า เมืองที่เคยรุ่งเรืองอย่างมากในยุคเหมืองแร่ดีบุก ช่วงสมัยรัชกาลที่ 7 ปัจจุบันยังคงหลงเหลือร่องรอยของความเจริญทั้งสถาปัตย์ เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ โดยเรามาเดินทอดน่องกันอยู่ที่บริเวณ ถนนอุดมธาราและถนนศรีตะกั่วป่า (ตลาดใหญ่) เพื่อชมความงามของตึกเก่าสไตล์ชิโนตะกั่วป่า ที่ถูกออกแบบมาอย่างปาณีต ผสมวัฒนธรรมจีน-ยุโรปมาอย่างลงตัว โดยตึกเก่าเมืองตะกั่วป่า จะมีลักษณะเป็นตึกแถวสองชั้น ก่ออิฐถือปูน ด้านหน้าอาคารชั้นล่าง มีทางเดินเท้าเชื่อมต่อกันเป็นระยะๆ มุงหลังคาด้วยกระเบื้องแบบจีน และมีซุ้มประตูโค้งแบบเดียวกับหง่อคาขี่ในจังหวัดภูเก็ต บางหลังดูด้านหน้าอาจเป็นที่อยู่อาศัยธรรมดา แต่ถ้าหากเข้าไปด้านในจะพบว่ามีศาลเจ้าประจำตระกูลอยู่ด้วย และเพื่อสัมผัสวิถีตะกั่วป่าให้อย่างลึกซึ้ง ยังได้มีการลองแต่งชุดด้วยเครื่องแต่งกายประถิ่นที่เรียกว่า บาบ๋า-ย่าหยา อีกด้วย
จากนั้นเราก็ไปลองทำขนมโบราณ เกี้ยมก้วย ขนมโบราณที่ด้านล่างเป็นแป้งผสมเกลือ แล้วนำไปนึ่ง โรยหน้าด้วยกุ้งบด หอมเจียว ผักหอม และราดด้วยน้ำชอ หรือน้ำจิ้มรสเด็ด เป็นอาหารคาวที่มีรสสัมผัสนิ่มหอมอร่อยตั้งแต่คำแรกที่เข้าปาก ขนมชนิดนี้ขนมที่คนจีนสมัยก่อนนิยมทานคู่กับกาแฟเป็นอาหารเช้า ปัจจุบันยังหาทานได้ตามตลาดบางแห่งของเมืองพังงา ทานของคาวเสร็จแล้วเราไปต่อเนื่องความอร่อยกันด้วยของหวานกับขนมประจำเมืองพังงาอย่าง เต้าส้อ เราได้เดินทางไปชมกรรมวิธีการทำตั้งแต่เตรียมแป้ง เตรียมไส้ ไปจนถึงการปั้นเป็นลูกพอดีคำพร้อมนำเข้าเตาอบ แน่นอนว่ามาถึงถิ่นก็ต้องขอชิมกับแบบสดๆ อบอุ่นๆ จากเตา ซึ่งไม่ทำให้ผิดหวัง แป้งสองชั้นบางกรอบด้านนอก บวกกับความหวานหอมของไส้และความมันจากไข่เค็ม ผสมเข้ากันอย่างลงตัว เมื่อนำเข้าปากปุ๊บก็รู้สึกได้ทันทีว่า เราได้มาถึงพังงาอย่างแท้จริงแล้ว
กรีนต่อไปที่เราอยากพาทุกคนไปสัมผัส คือ คลองสังเหน่ ตั้งอยู่ใน ต.บางนายสี อ.ตะกั่วป่า ที่ขึ้นชื่อเป็น Little Amazon เพราะความอุดมสมบูรณ์ของป่า ความหลากหลายของพรรณไม้ และสัตว์เลื้อยคลานที่ชุกชุม โดยที่นี่จะมีเจ้าหน้าที่คอยให้บริการพายเรือคายัคพานักท่องเที่ยวชมธรรมชาติสองฝั่งคลองที่มีความยาวเกือบ 3 กิโลเมตร ตลอดเส้นทางเราจะได้ชมพรรณไม้ ยินเสียงจิ้งหรีด สูดอากาศบริสุทธิ์ ไฮไลท์คือ งูชนิดต่างๆ อาทิ งูเขียว งูปล้องทอง งูเหลือม ที่หลบนอนตามกิ่งไม้ งานนี้ไม่ต้องเพ่งสายตาก็เห็นได้อย่างชัดเจน เพราะงูที่นี่เขาตัวใหญ่และรับรองว่าเป็นของจริง หากใครกลัวว่าจะเป็นอันตรายหรือเปล่า เจ้าหน้าที่ก็รับรองมาว่าไม่เป็นอันตราย เนื่องจากส่วนใหญ่งูจะอยู่สูงห่างจากเรืออยู่มาก อีกทั้งในช่วงเวลากลางวันตางูจะฝ้า เพราะว่าเป็นช่วงเวลานอนของงู หากไม่ไปใกล้ตัวรบกวนมัน พวกมันก็จะนอนให้เราชมอย่างเพลินตา ถ่ายรูปเก็บไว้ในคอลเลคชั่นสัตว์โลกน่ารักได้อย่างสบายใจหายห่วง แต่หากใครไม่เชื่อคำเตือนก็เคยมีตัวอย่างนักท่องเที่ยวไปแหย่งู ทำให้พวกมันตกใจกระโดดลงมาทักทายชัดจัดเต็มยิ่งกว่า 4k เปลี่ยนการท่องเที่ยวสีเขียวเป็นช่วงนาทีระทึก ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่อันตรายสุดๆ ห้ามเลียนแบบเป็นอันขาด
ต่อเนื่องความกรีนกันที่สถานที่ต่อไป เราไปกันที่ ธารมรกต หรือ คลองนางย่อน ต.คุระบุรี อ.คุระบุรี แหล่งท่องเที่ยวที่เหมาะกับสายกรีนผู้อยากให้ธรรมชาติโอบล้อมตัวคุณ กิจกรรมหลักที่นี่คือการล่องแพไม้ไผ่ที่ชาวบ้านสร้างขึ้นมาเอง ไปชมความงามของธารมรกตที่มีน้ำใสเป็นสีมรกต สามารถมองเห็นปลานานาชนิด แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ฟ้าฝนไม่เป็นใจอีกตามเคย ทำให้ผู้เขียนอดเห็นความงามของสถานที่แห่งนี้ตามคำกล่าวอ้าง แต่ว่ามาถึงที่แล้วจะพลาดโอกาสล่องแพก็คงนึกเสียดายเป็นอย่างมาก คณะจึงขอล่องแพท่ามกลางสายฝนที่ตกปรอยๆ ชุ่มฉ่ำสดชื่น ถือเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์แปลกใหม่ที่ให้ความรู้สึกเข้าถึงธรรมชาติแบบสุดๆ ระหว่างทางยังอีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจ คือที่ลานหินรูปหัวใจ มีความเชื่อว่าถ้าใครมาที่นี่แล้วหาหินรูปหัวใจเจอ มักจะสมหวังในเรื่องความรัก คณจึงไม่พลาดเดินลุยหาหินรูปหัวใจมาตั้งเป็นปราสาทกันอย่างสนุกสนาน
มาถึงภาคใต้ทั้งทีจะไม่เจอทะเลเลยก็เหมือนจะมาสนุกไม่สุด ผู้เขียนจึงขอพาทุกคนไปสัมผัสกับอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวสุดสวยที่ยังไม่ค่อยมีคนรู้จัก โดยสถานที่แห่งนี้ซ่อนตัวอยู่ที่ชุมชนบ้านท่าดินแดง ตั้งอยู่ที่หมู่ 4 ต.ลำแก่น อ.ท้ายเหมือง ชุมชนที่ทำการท่องเที่ยวแบบสีเขียว มีให้เลือกได้สนุกกันหลากหลายกิจกรรม แต่วันนี้เราเลือกไปกันที่ เขาหน้ายักษ์ เพื่อไปชมหาดที่เขาว่าสวยไม่แพ้เกาะใดๆ ในพังงา และไปแวะถ่ายรูปสุดชิคบริเวณทุ่งหญ้าสีเหลืองทอง ที่มีบรรยากาศคล้ายคลึงกับทุ่งหญ้าสะวันนา แต่เป็นที่น่าเสียดายที่วันนี้ท้องฟ้าไม่เป็นใจ ไม่เปิดโล่ง ทำให้เราไม่ได้เห็นฟ้าสวยทะเลใส แต่ไม่เป็นไรเพราะจุดมุ่งหมายหลักของการมาเยือนที่แห่งนี้ เรามาเพื่อทำกิจกรรม CSR เก็บขยะริมชายหาดกัน โดยเราร่วมแรงกับชาวบ้านที่ปกติจะมาช่วยกันเก็บขยะดูแลชายหาดแห่งนี้เป็นประจำทุกอาทิตย์อยู่แล้ว
เมื่อเราเดินเลียบไปตามหาดก็พบขยะจำนวนมากที่ถูกคลื่นซัดมาเกยอยู่บนฝั่ง โดยกว่า 99 เปอร์เซนต์ของขยะที่พบเป็นขยะพลาสติก โดยเฉพาะขวดน้ำ ฝาขวดน้ำ เชือกพลาสติก เศษพลาสติกที่มีคมเป็นอันตรายต่อสัตว์ทะเลและต่อมนุษย์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า ปัญหาขยะยังคงมีสถานการณ์วิกฤติในไทย ตอกย้ำข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ ที่ระบุว่า ประเทศไทยสร้างขยะพลาสติกมากถึง 2 ล้านตันต่อปี และการถูกจัดให้อยู่ในอันดับ 6 ของโลกว่าด้วยประเทศที่ทิ้งขยะลงสู่ทะเลมากที่สุด แม้ว่าที่ผ่านมา หลายภาคส่วน จะพยายามรณรงค์ลดการใช้พลาสติก แต่ดูเหมือนจะไม่เคยได้ผล ชวนให้เราตั้งข้อสงสัยว่าเรามีการจัดการขยะที่ดีกันหรือยัง เราตื่นตัวกันหรือยัง ซึ่งการจัดการขยะในที่นี้ไม่ได้หมายถึงแค่ตัวองค์กรหน่วยงาน แต่ยังหมายถึงตัวเราว่ามีจิตสำนึกต่อโลกมากแค่ไหน ไม่ต้องถึงขั้นทำแคมเปญใหญ่ๆ เพื่อช่วยโลกหรือทำอะไรที่เกินตัว เพียงอยากให้ทุกคนลองเริ่มจากตัวคุณเอง ด้วยการลดใช้พลาสติก อาทิ ถุง หลอด แก้ว หรือพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง หันมาใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อโลก นี่อาจเป็นการเริ่มต้นเพียงจุดเล็กๆ แต่ถ้าหากจุดเล็กๆ เชื่อมต่อกันหลายๆ จุด พร้อมการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและการส่งต่อจิตสำนึกดีนี้ไปเรื่อยๆ เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะสร้างแรงกระเพือมครั้งใหญ่ให้กับสังคมในวันข้างหน้าได้อย่างแน่นอน
ช่วงเวลาแห่งความสนุกผ่านไปอย่างรวดเร็ว มาถึงสถานที่แห่งสุดท้ายของการท่องเที่ยวแบบสีเขียวในครั้งนี้ เราไปกันที่ ชุมชนบ้านโคกไคร ต.มะรุ่ย อ.ทับปุด แหล่งท่องเที่ยวชุมชนโดยคนท้องถิ่นที่มีกิจกรรมสุดสนุกซ่อนไว้จำนวนมากอย่างคาดไม่ถึง ให้คุณได้ใช้เวลาอย่างคุ้มค่าตั้งแต่เช้าจรดเย็น เริ่มต้นกันที่ตื่นเช้ามารอชมความงามของไอหมอกที่พัดปกคลุมยอดเขาท่ามกลางแสงแรกของวัน ก่อนล่องเรือเตรียมไปทำสปาธรรมชาติกันที่ หาดทรายร้อน ที่ตั้งอยู่ในคลองมะรุ่ย รอยต่อระหว่างจังหวัดพังงาและจังหวัดกระบี่ ซึ่งทัศนียภาพตลอดทางเราจะได้สัมผัสวิถีประมงกับการเพาะเลี้ยงหอยนางรม ชมธรรมชาติของป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์ท่ามกลางพื้นหลังเป็นทิวเขาตัดสลับกับผืนฟ้า พร้อมสูดอากาศสดชื่นยามเช้า
เมื่อมาถึงหาดทรายร้อนเราก็เตรียมตัวพร้อมที่จะไปทำสปากัน เริ่มด้วยการเดินเท้าเปล่าย่ำบนพื้นทรายที่มีอุณหภูมิร้อนกำลังดีเป็นการเปิดจุดร่างกาย ต่อการด้วยลงไปหมักเลน ย่ำเท้าลงไปในเลนให้ลึก ยิ่งลึกยิ่งร้อนยิ่งดีต่อสุขภาพ โดยยืนแช่ไว้ประมาณ 10-15 นาที จากนั้นก็ไปล้างโคลนที่ขาเพื่อเตรียมทำสปาโคลน สำหรับโคลนที่นำมาใช้เป็นโคลนที่ต้องขุดลึกลงไปประมาณ 1 เมตร จะได้โคลนที่มีเนื้อเนียนละเอียด มีแร่ธาตุ และอุณหภูมิที่กำลังดี และที่สำคัญยังผ่านการตรวจคุณภาพและได้รับการยืนยันมาแล้วว่าโคลนที่นำมาทำสปามีแร่ธาตุคุณประโยชน์ พอได้โคลนมาแล้วก็นำมาพอกตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทิ้งไว้ให้โคลนแห้งประมาณ 15 นาที โดยในระหว่างนี้เราก็มานั่งรับประทานอาหารเช้ากับเมนูพื้นถิ่น หรือจะจิบชาร้อนชมธรรมชาติล้วนดีไม่น้อย หลังจากครบเวลาแล้วก็มาล้างตัวในน้ำสะอาด ก็จะพบว่าผิวมาความเนียนใสมากขึ้นเหมาะกับคนที่ชื่นชอบการทำสปาผิวเป็นอย่างมาก
สำหรับหาดทรายร้อนจะพบได้เฉพาะตอนน้ำลดเท่านั้น ซึ่งพื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นจุดรอยแยกของเปลือกโลก ชื่อรอยเลื่อนคลองมะรุ่ย ทำให้บริเวณดังกล่าวเกิดน้ำทะเลร้อน ทรายร้อน และโคลนร้อน ชาวบ้านในพื้นที่ใช้เพื่อบำบัดโรคเหน็บชาและอาการปวดเมื่อย ก่อนจะต่อยอดมาเป็นการท่องเที่ยว ทั้งนี้ โปรแกรมสปาธรรมชาติเปิดให้ท่องเที่ยวได้เฉพาะช่วง 3 ค่ำ - 7 ค่ำ เท่านั้น และจำกัดนักท่องเที่ยวให้ไม่เกิน 100 คนต่อวัน เพื่อเป็นการถนอมธรรมชาติบริเวณดังกล่าวไม่ให้ช้ำจากการท่องเที่ยวจนเกินไป และทำให้แร่ธาตุในดินได้ฟื้นตัวกลับครบถ้วนสมบูรณ์
หลังจากกลับจากการเสริมสวยให้กับผิว เราก็พร้อมที่จะไปท้าแดดท้ายุงกันต่อกับการกิจกรรมพายเรือคายัคชมธรรมชาติป่าชายเลน พืชสมุนไพร และโขดหินสวยตลอดเส้นทาง โดยมีไกด์ท้องถิ่นคอยบรรยายให้ความรู้ ซึ่งเราไม่พายเรือเที่ยวเพียงเดียวแต่ระหว่างทางหากพบขยะก็จะนำอุปกรณ์ที่ทางชุมชนเตรียมไว้ให้นำมาใช้ช่วยกันเก็บขยะขึ้นมา เป็นการช่วยกันดูแลธรรมชาติอีกทางหนึ่ง นับว่าเป็นการท่องเที่ยวสีเขียวที่มีจิตสำนึกต่อธรรมชาติอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ ตามโปรแกรมเที่ยวแล้วจะมีให้นักท่องเที่ยวได้ไปชมความงามของถ้ำต่างๆ แต่เนื่องจากช่วงเวลาที่ผู้เขียนไปนั้นไม่เหมาะสำหรับการไปถ้ำ จึงทำให้อดเข้าไปชมความงาม แต่ขอแนะนำว่าเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ใครได้มาเยือนชุมชนบ้านโคกไครไม่ควรพลาด นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมแทรกกิ้งเหมาะสำหรับคนที่ชอบปีนเขาชมพรรณไม้ป่าให้ได้ไปตะลุยกัน เรียกได้ว่ามาเยือนชุมชนเพียงแห่งเดียวกลับได้สนุกครบรส คุ้มค่าเกินราคาควรมาเยือน
ถึงแม้ทริปนี้จะชุ่มฉ่ำกันตลอดทั้งทริป แต่ความสนุกสนานกลับไม่ลดลงเลย ได้สัมผัสกับบรรยากาศอีกมุมมอง ยิ่งฝนตกยิ่งเพิ่มความกรีนเข้ากับคอนเซปต์ในการเที่ยวครั้้งนี้ เป็นส่งท้ายการท่องเที่ยวแบบ 7 Green ที่สมบูรณ์แบบ สำหรับครั้งหน้าแนวหน้าพาเที่ยวจะพาคุณผู้อ่านไปท่องเที่ยวที่ไหนอย่าลืมติดตามกัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : เล่นเรือใบรับลม-ปั่นจักรยานชม'เกาะหมาก' เที่ยวแบบรักษ์ธรรมชาติ7Greens
หลงเสน่ห์'เมืองน่าน' เที่ยวหน้าฝนสุดฟิน-คัด6โลเคชั่นต้องห้ามพลาด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี