“การเร่งรัดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจทางด้านคมนาคมและระบบรางก่อนเลือกตั้งหลายแสนล้านบาทเป็นเรื่องที่ดี” แต่ต้องรอบคอบ โปร่งใส และเป็นไปตามยุทธศาสตร์ มองผลประโยชน์ระยะยาวของประเทศเป็นหลัก ส่วนการหวังกระตุ้นเศรษฐกิจก่อนการเลือกตั้งนั้นไม่ควรนำมาเป็นเป้าหมายหลัก เป็นเพียงผลพลอยได้จากการลงทุนเมกะโปรเจคต์เหล่านี้ เนื่องจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจจะก่อให้เกิดการลดต้นทุนโลจีสติกส์ของประเทศ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจในระยะยาว เพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชน
แต่ให้ระวังเรื่องการก่อหนี้ภาครัฐและการบริหารจัดการหนี้สาธารณะในอนาคต ต้องระมัดระวังการให้สัมปทานที่อาจเอื้อประโยชน์กับเอกชนรายใหญ่จนก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมต่อรัฐและประชาชน ต้องเอาใจใส่กับปัญหาทุจริตรั่วไหลของโครงการตลอดจนต้องไม่ประเมินโครงการต่างๆในเชิงบวกมากเกินไปจนเกิดการลงทุนเกินความจำเป็น ไม่คุ้มทุน ประสบภาวะขาดทุนยาวนานและเป็นภาระทางงบประมาณจำนวนมากในอนาคต
สำหรับประเด็น “การประเมินโครงการลงทุนขนาดใหญ่เชิงบวกมากเกินไป” นั้นเป็นเรื่องที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ “จากแบบสำรวจของหอการค้าญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ และองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่นหรือเจโทร” ได้ถามถึงความกังวลใจของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทยเกี่ยวกับโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่อีอีซี
โดยพบว่า “36% มีความกังวลใจต่อมุมมองเชิงบวกของรัฐบาลไทยต่ออุปสงค์ในอนาคต” เช่น กรณีการลงทุนโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ตลอดจนการก่อสร้างสนามบินอู่ตะเภา ซึ่งรัฐบาลได้ประมาณการตัวเลขผู้ใช้บริการทั้งรถไฟฟ้าความเร็วสูงและสนามบิน ซึ่งอาจจะเป็นตัวเลขที่มีมุมมองเชิงบวกเกินไป ทำให้มีผลต่อการประมาณการลงทุนโครงการ รวมทั้งตัวเลขการลงทุนของบริษัทเอกชนในพื้นที่อีอีซี
บริษัทญี่ปุ่นที่เข้ามาสำรวจข้อมูลและประเมินแล้วไม่ได้ออกมาเป็นบวกมากเท่าตัวเลขของรัฐบาล นอกจากนี้ นโยบายส่งเสริมการลงทุนโครงการพื้นฐานทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่บางส่วนนั้นเป็นการลงทุนแบบ PPP คือเป็นการลงทุนรัฐร่วมเอกชน ซึ่งขณะนี้บางโครงการยังไม่มีความชัดเจนตามที่วางแผนไว้ ซึ่งผลสำรวจมีบริษัทญี่ปุ่น 35% ยังมีความกังวลถึงความไม่ชัดเจนของแผนการพัฒนาโครงการต่างๆในเขตอีอีซี เป็นต้น
ส่วน “การเร่งรัดการเปิดประมูลโครงการขนาดใหญ่ในรัฐบาลชุดนี้อาจไม่ได้มีความจำเป็นมาก” การเปิดประมูลภายในระบบการเมืองแบบปิดอาจก่อให้เกิดการเอื้อประโยชน์จากการวิ่งเต้นกับผู้มีอำนาจได้ง่าย การเปิดประมูลภายใต้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่มีระบบตรวจสอบถ่วงดุล และต้องดำเนินการตามกฎหมายวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัดจะเป็นการเหมาะสมกว่า
ตั้งแต่เดือนก.ค.ไปจนถึงปลายปีนี้ กระทรวงคมนาคมจะทยอยเสนอโครงการต่างๆไปให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติ ซึ่งในส่วนโครงการรถไฟทางคู่เฟสสอง 9 เส้นทาง 3.9 แสนล้านบาท จะเสนอครม.ทั้งหมดในปีนี้ และคาดว่าในเดือน ก.ค.จะเสนอรถไฟทางคู่สายใหม่เส้นทางเด่นชัย - เชียงราย - เชียงของ วงเงิน 7.2 หมื่นล้านบาทให้ ครม.พิจารณาได้ ส่วนที่เหลืออีก 8 เส้น อยู่ระหว่างดำเนินการตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง
สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ช่วงเตาปูน - ราษฎร์บูรณะ 1.01 แสนล้านบาท จะเปิดประมูลในเดือนต.ค.นี้ ส่วนสายสีส้มตะวันตกช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ - บางขุนนนท์ 1.09 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นการลงทุนแบบ PPP จะเสนอครม.อนุมัติในเดือนพ.ย.นี้ ขณะที่โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงส่วนต่อขยาย 3 เส้นทาง 2.6 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะเสนอครม.พิจารณาได้ในเดือน ต.ค. - พ.ย.ปีนี้เช่นกัน และโครงการท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 จะเปิดประมูลปลายปีนี้ เป็นต้น
“หากรัฐบาล คสช. วิตกกังวลว่า โครงการขนาดใหญ่อาจจะมีความล่าช้า ไม่มีความต่อเนื่องหลังการเลือกตั้ง ก็ต้องถามว่า ทำไมผู้มีอำนาจจึงร่างรัฐธรรมนูญออกแบบให้ระบบเลือกตั้งได้รัฐบาลที่อ่อนแอ ยกเว้นรัฐบาลที่สืบทอดอำนาจจาก คสช. เท่านั้นจึงจะเข้มแข็งด้วยเสียงสนับสนุนจากสมาชิกวุฒิสภา 250 เสียงที่ตัวเองแต่งตั้ง
การออกแบบรัฐธรรมนูญแบบนี้ไม่ได้เป็นการวางรากฐานให้ระบอบประชาธิปไตยมั่นคงแต่ต้องให้เกิดความมั่นคงในการสืบทอดอำนาจมากกว่า เมื่อไม่ได้รัฐบาลเข้มแข็งหลังการเลือกตั้งย่อมเป็นอุปสรรค ต่อการสานต่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและโครงการขนาดใหญ่ทั้งหลาย ไม่เป็นปัจจัยเกื้อหนุนต่อการปฏิรูปประเทศและจะทำให้ประเทศประชาชนเสียโอกาส”
ผมขอเสนอให้ออกระเบียบและเงื่อนไขเพิ่มเติมด้านสิ่งแวดล้อม การถ่ายโอนเทคโนโลยี สภาพการจ้างงาน และการดูแลคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งการให้สัมปทานต่างชาติในโครงการขนาดใหญ่ต้องรอบคอบและโปร่งใส การให้สัมปทานต้องยึดหลักธรรมาภิบาล มียุทธศาสตร์ที่ดี รักษาดุลอำนาจอย่างเหมาะสมในโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อให้ผลประโยชน์จากการลงทุนกระจายมายังคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่คนไทยกลุ่มเล็กๆหรือทุนขนาดใหญ่ข้ามชาติเท่านั้น
นอกจากนี้ “ควรเร่งรัดในการบังคับใช้กฎหมายภาษีลาภลอย” เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ เกิดความเป็นธรรมในการใช้งบประมาณในการลงทุนโครงการขนาดใหญ่!!!
ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ
คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี