“ถ้าดูแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติตั้งแต่ฉบับที่ 1 ไม่เคยเจอเหตุการณ์พืชผลทางการเกษตรหลักตกลงทุกตัว และ 4 ปีติด ระบบส่งออกก็ติดลบ 4 ปีติด มีการปรับระบบโครงสร้างระเบียบราชการ มีการดูแลเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่น มี พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างใหม่ มันเป็นบริบทที่มารวมอยู่ขณะนี้ พร้อมกันในรอบ 100 ปีของเมืองไทย ฉะนั้นถามว่าวิเคราะห์เศรษฐกิจยากไหม? ยากนะ เพราะจับไปที่ไหนก็มีปัญหาทั้งนั้น มันเป็นปัญหาที่รุมเร้าประเทศไทยหนักที่สุดในประวัติศาสตร์เท่าที่ผมเห็น”
ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวในเวทีเสวนา “โลกาภิวัตน์ ในชีวิตจริง” ณ ม.หอการค้าไทย เมื่อเร็วๆ นี้ ถึงสิ่งที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ในช่วง 4 ปีล่าสุด ซึ่งในฐานะที่เคยวิเคราะห์เศรษฐกิจผ่านสื่อมาหลายครั้ง ยอมรับว่า “สถานการณ์เวลานี้จะให้ทำนายอนาคตเป็นเรื่องยากมาก” ด้วยหลายปัจจัยที่เข้ามารวมๆ กัน นอกจากที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมี “สตาร์ทอัพ” (Start Up) “ธุรกิจออนไลน์” (E - Commerce) “ปัญญาประดิษฐ์” (AI) ฯลฯ เหล่านี้ส่งผลกระทบที่เห็นได้ชัดอย่างหนึ่งคือนักศึกษาจบใหม่ตกงานกันไปไม่น้อย
รวมถึง “ท่าทีของมหาอำนาจ” ก็สำคัญ อาทิ สหรัฐอเมริกา ภายใต้การนำของ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ที่พยายามนำสหรัฐออกจากข้อตกลงในเวทีโลกที่รัฐบาลอเมริกันยุคก่อนๆ ยึดถือปฏิบัติมาโดยตลอด เพื่อทำตามนโยบาย “คนอเมริกันต้องมาก่อน” (America First) ที่ทรัมป์เคยให้สัญญาไว้ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง และได้ใจประชาชนชาวอเมริกันระดับล่างอย่างมาก ขณะเดียวกัน จีน มหาอำนาจโลกตะวันออก ภายใต้การนำของ สี จิ้น ผิง กำลังโตวันโตคืน เป็นที่รับรู้กันว่า “จีนนั้นผงาดแน่” คำถามคือแล้วจะอยู่ร่วมกับจีนอย่างไร?
อาจารย์ธนวรรธน์ กล่าวต่อไปโดยตั้งข้อสังเกตไว้ประการหนึ่ง คือ “เมื่อมีประเด็นท้าทายใหม่ๆ เกิดขึ้น” เช่น ขณะนี้ที่มีการพูดถึงแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี หรือการคาดหวังให้เศรษฐกิจไทยร้อยละ 4-5 ทุกปี หรือเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่ต้องการปูทางไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีสัญชาติไทยอย่างแท้จริง “คนไทยมักจะถามว่า..มันจะเป็นไปได้จริงหรือ?” อยู่เสมอ ซึ่ง “ควรเปลี่ยนมุมคิด” โดยน่าจะตั้งคำถามว่า “เราจะทำมันให้เป็นจริงได้อย่างไร?” และถามต่อไปอีกว่า “แล้วพวกเราจะช่วยกันได้อย่างไร?” เป็นต้น
“เราจะผูกกับจีนอย่างไร? ตอนนี้จีนมาแล้ว มาเที่ยวเต็มไปหมดเลย ผมสอนหนังสือในชั้นเรียนมีเด็กจีนมาเรียน ผมถามว่าเมืองไทยดีไหม? เขาตอบว่าดี ถามว่าอยากอยู่ไหม? เขาว่าอยากอยู่ แล้วคนไทยเป็นอย่างไร? เขาตอบว่าน่ารัก แต่พอถามว่าคนไทยต้องแก้อะไรบ้าง? เขาบอกแก้อย่างเดียวคือขยันขึ้นอีกหน่อย มันคือ Mindset (วิธีคิด) เด็ก 1 คนเรียนโรงเรียนไทย เด็กคนเดิมไปเรียนโรงเรียนอินเตอร์ เด็กคนนี้พฤติกรรมเปลี่ยน เด็กไทยคนเดิมแต่ไปเรียนในระบบที่เปลี่ยนไป เด็กไทยคนเดิมเก่งขึ้น” อาจารย์ธนวรรธน์ ยกตัวอย่าง
ขณะที่ คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) กล่าวว่า วันนี้ประเทศไทยต้องมีเป้าหมาย จึงเกิดเป็น 10 อุตสาหกรรมที่ต้องการดึงนักลงทุนต่างชาตินำพาเทคโนโลยีเข้ามาในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC และสิ่งที่ต้องคิดกันต่อไปคือทำอย่างไรจะให้ผลที่ได้จากพื้นที่ EEC กระจายตัวไปยังทุกคนในประเทศ
ซึ่ง EEC มี 3 เรื่องที่ต้องดูแล คือ 1.เทคโนโลยี เพราะทาง ธนาคารโลก (World Bank) กล่าวอย่างชัดเจนว่าประเทศที่ไม่มีเทคโนโลยีของตนเองเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วไม่ได้ 2.ระเบียบภายใน ที่ต้องปรับปรุงเพื่อรองรับ และ 3.คน ที่ยอมรับว่าเรื่องนี้ต้องใช้แรงอย่างมากในการเปลี่ยนแปลง อาทิ เคยมีฝ่ายทรัพยากรมนุษย์บางท่านบอกว่า “คนไทยขยันน้อยไปหน่อย” เป็นต้น
แต่เชื่อว่าหาก EEC ทำได้สำเร็จ ผลที่ได้คือจะมีการลงทุนเพิ่มขึ้น 3 แสนล้านบาท การลงทุนโดยรวมในไทยขยายจากร้อยละ 3 เป็นร้อยละ 4 ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) เพิ่มอีกร้อยละ 2 ซึ่ง “การที่ GDP เพิ่มจากร้อยละ 3 เป็นร้อยละ 5 หมายถึงการกลับไปอยู่ระดับการขยายตัวโดยปกติของไทยที่ควรจะเป็น” แต่แน่นอนข้างล่างก็ต้องแก้ปัญหา 2 เรื่อง คือการลงพื้นที่ที่ผลประโยชน์จะต้องลงไปถึง กับเรื่องการพัฒนาคน
เลขาธิการ คกก. EEC ยังกล่าวถึงปัญหาอย่างหนึ่งของคนไทยคือ “คนไทยไม่มีความมั่นใจ” โดยเทียบจากที่เคยเดินทางไปประเทศจีน แล้วก็พบเช่นเดียวกับที่ อาจารย์ธนวรรธน์ กล่าวไปในตอนต้น เมื่อมีโจทย์ใหม่ๆ เกิดขึ้นชาวจีนจะตั้งคำถามว่าทำให้เกิดขึ้น ทำให้สำเร็จได้อย่างไร ต่างกับคนไทยที่จะถามก่อนว่าจะทำได้หรือ? แต่ก็เชื่อว่าหลังจากทำอุตสาหกรรม 10 อย่างเป็นรูปเป็นร่างแล้ว“การพัฒนาคน” น่าจะชัดขึ้นด้วยว่าอยากให้ใครทำอะไร
“ผมเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลง ตอนนี้กระทรวงศึกษาธิการก็มาแล้ว เริ่มจะมาทำโครงการกับเรา กระทรวงแรงงานก็มา มันก็เริ่มไปในทางที่เป็นไปได้ ถามว่าเราพร้อมที่จะทำเรื่องนี้ไหม? ผมคิดว่าพร้อม เพียงแต่เราต้องมีความอดทนที่จะทำงานด้วยกัน เวลาที่เขียน พ.ร.บ. EEC กำหนดว่าให้ทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่น หรือให้หน่วยงานอื่นมาทำงานกับเราเพื่อให้ประสิทธิภาพดีขึ้น แต่ไม่ใช่เราให้ไปทำงานแทนหน่วยงานอื่น
กระบวนการทำงานของผมเลยเป็นการทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่นตลอดมา อย่างกฎหมาย Public Private Partnership (การร่วมทุนระหว่างรัฐกับเอกชน) โครงการหนึ่งแต่ก่อนใช้เวลา 40 เดือน ตอนนี้แก้แล้วเหลือ 8 เดือน เรื่องเกี่ยวกับการศึกษา เรื่องผังเมือง เราทำงานด้วยกัน ถามว่าทำได้ไหม? ทำได้แต่ต้องมี Attitude (ทัศนคติ) ต้องมาช่วยกันทำ พยายามสร้างสิ่งที่ดีให้กับประเทศ” เลขาธิการ คกก. EEC กล่าวในท้ายที่สุด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี