“กล่องโฟม” เป็นภาชนะบรรจุอาหารที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบันจากความสะดวกและราคาประหยัด แต่กล่องโฟมก็มาพร้อมกับผลกระทบทั้งในแง่สิ่งแวดล้อม เพราะโฟมนั้นใช้เวลาเป็นร้อยปีกว่าจะย่อยสลาย ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ ระบุว่าในปี 2559 ประเทศไทยมีขยะประเภทโฟมถึง 61 ล้านใบต่อวัน นี่เป็นเรื่องใหญ่ถึงขั้นต้นสังกัดของกรมควบคุมมลพิษอย่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ต้องออก “โรดแมป” ลด ละ เลิกใช้โฟม โดยตั้งเป้าหมายเบื้องต้นไว้ว่าต้องลดการใช้ให้ได้ร้อยละ 10 ภายในปี 2562
แน่นอนเมื่อมีการปรับเปลี่ยนจากสิ่งเก่าไปสู่สิ่งใหม่ แม้เป็นการเปลี่ยนผ่านสู่สิ่งที่ดีกว่าแต่คำถามยอดนิยมที่ตามมาคงหนีไม่พ้น “แล้วมีอะไรทดแทน?” ซึ่งที่ผ่านมาก็มีผู้ประกอบการหลายรายพยายามหาวัสดุธรรมชาติที่ย่อยสลายง่ายกว่ามาทดแทน เช่นที่ วิมล จันทร์เทียร Fest Brand Director กล่าวถึงบรรจุภัณฑ์อาหารปลอดภัย “เฟสท์” (Fest) ว่าจุดเริ่มต้นมาจากความใส่ใจสุขภาพและความปลอดภัยของผู้บริโภค จึงได้พัฒนาบรรจุภัณฑ์อาหารที่สะอาด ปลอดภัย สามารถสัมผัสอาหารได้โดยตรงตามมาตรฐานด้านอาหาร (Food Direct Contact)
“บรรจุภัณฑ์อาหารเฟสท์ผลิตเข้าสู่ตลาดมาแล้วเป็นเวลา 2 ปี จากปริมาณความต้องการใช้งานบรรจุภัณฑ์ที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งธุรกิจอาหารและธุรกิจบริการอาหารเดลิเวอรี่ และเทรนด์สำคัญของโลกในปัจจุบันที่ตระหนักในเรื่องสิ่งแวดล้อม เฟสท์จึงพัฒนาบรรจุภัณฑ์เยื่อธรรมชาติเฟสท์ เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ โดยผลิตจากเยื่อยูคาลิปตัสจากป่าปลูกที่มีการพัฒนาสายพันธุ์ที่เหมาะสม มีความแข็งแรงมากกว่าเยื่อจากไม้ล้มลุกทั่วไป” วิมล กล่าว
ยูคาลิปตัสนั้นถือเป็น “ไม้สารพัดประโยชน์”ชนิดหนึ่งเพราะถูกนำไปใช้ตั้งแต่ทำเฟอร์นิเจอร์ในบ้านเรือนไปจนถึงการผลิตกระดาษถึงขั้นที่ส่งเสริมให้ปลูกกันเป็นเรื่องเป็นราว รวมทั้งการผลิตไม้ยูคาลิปตัสส่งเข้าโรงไฟฟ้าชีวมวล โดยทางเฟสท์นำเยื่อไม้ยูคาลิปตัสผ่านกระบวนการผลิตทำให้ได้บรรจุภัณฑ์อาหารที่มีความขาว ผิวเรียบเนียน แข็งแรง รองรับการเรียงซ้อนได้ สามารถทนน้ำและน้ำมัน ไม่รั่วซึม สามารถอุ่นร้อนโดยการเข้าไมโครเวฟได้
วิมล กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันเฟสท์เพิ่ม ฐานการผลิตใหม่จำนวน 2 โรงงาน ที่ จ.สมุทรสาคร และ จ.ขอนแก่น เป็นโรงงานที่มีมาตรฐานสากล ได้รับการรับรองมาตรฐาน GMP (Good Manufacturing Practices), The BRC (British Retail Consortium) Global Standard, HACCP (Hazard Analysis Critical Control Point) ควบคุมกระบวนการผลิตในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน US-FDA (องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา)
ขณะที่ กรัณย์ เตชะเสน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีซี เฟล็กซิเบิ้ลแพคเกจจิ้ง จำกัด ธุรกิจแพ็กเกจจิ้งในเครือเอสซีจี (SCG) กล่าวเสริมว่า อุตสาหกรรมอาหารนั้นใช้บรรจุภัณฑ์จำนวนมากและเติบโตสูงถึงร้อยละ 4-7 ต่อปี ทำให้ต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย เช่น กลุ่มบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อนตัว (Flexible Packaging) ซึ่งเป็นบรรจุภัณฑ์ประเภท Plastic-based Material โดยตลาดในประเทศไทยมีอัตราการเติบโตถึงร้อยละ 4 และในตลาดเอเชียเติบโตร้อยละ 5 ตามจำนวนประชากรและเศรษฐกิจของประเทศ
แม้จะมีความพยายามเปลี่ยนแปลงดังข้างต้น แต่ยังมีอุปสรรคที่อาจทำให้บรรจุภัณฑ์รักษ์โลกแพร่หลายไม่ง่าย คือเรื่องของ “ราคา” ดังที่ก่อนหน้านี้มีกรณีของ “ชานอ้อย” อีกวัสดุที่นิยมนำมาทำกล่องอาหารแทนโฟม จากการสำรวจพบว่ากล่องข้าวจากชานอ้อยนั้นมีราคาอยู่ที่ใบละ1 บาทเศษๆ ขณะที่กล่องข้าวโฟมนั้นราคาใบละไม่ถึง 1 บาท ส่วนกล่องข้าวจากยูคาลิปตัสราคาใบละ 2 บาท แน่นอนย่อมทำให้ผู้ขายอาหารกล่องต้อง “บวกเพิ่มต้นทุน” ราคาอาหารนั้นไปโดยปริยาย กระทบต่อชีวิตคนไทยที่ส่วนใหญ่รายได้ก็ไม่ได้สูงอย่างประเทศพัฒนาแล้ว
ถึงกระนั้นหากมองในอีกด้านหนึ่ง “บริโภคข้าวกล่องโฟมราคาถูกวันนี้ รู้ตัวอีกทีอาจป่วยเรื้อรังในวันหน้า”ดังรายงาน “สรุปผลโครงการรณรงค์ ลด ละ เลิก การใช้ภาชนะโฟมบรรจุอาหาร เพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทย (ปี 2557-2560)” โดยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า “โฟมทํามาจากโพลีสไตรีน” (Polystyrene: PS) ร้อยละ 95 เป็นส่วนประกอบของอากาศร้อยละ 5 โดยในกระบวนการผลิตโฟมโพลีสไตรีนนั้นไม่สามารถกําจัดสไตรีนออกไปได้ทั้งหมด ยังพบว่ามีการตกค้างของสไตรีนในเนื้อโพลิเมอร์เสมอปริมาณมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับกระบวนการผลิต
ดังนั้นการใช้ภาชนะโฟมบรรจุอาหารที่มีความเสี่ยงก็จะทําให้เกิดการปลดปล่อยสารสไตรีน (Styrene) ซึ่งมีผลต่อร่างกายโดยจะเข้าไปสู่ระบบประสาทส่วนกลาง และสะสมในเนื้อเยื่อที่มีไขมัน เช่น ระบบสมอง ระบบประสาท ทั้งนี้ “องค์กรระหว่างประเทศด้านการศึกษาวิจัยเรื่องโรคมะเร็ง (IARC : International Agency for Research on Cancer) ได้จัดกลุ่มให้สไตรีนเป็นสารก่อมะเร็งกลุ่ม 2B (IARC, 2002)” ปริมาณที่ปนเปื้อน ขึ้นอยู่กับ 1.ประเภทของอาหาร 2.ระยะเวลาสัมผัสอาหาร 3.อุณหภูมิของอาหาร และ 4.ปริมาณสารสไตรีนที่ตกค้างในเนื้อโฟม
นพ.วัฒนา โรจนวิจิตรกุล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนนทบุรี เคยเขียนบทความ “ภัยเงียบจากกล่องโฟม กินสบาย...แต่ตายเร็ว !!!” ลงในเว็บไซต์ “แนวหน้าออนไลน์” (คอลัมน์ “พบหมอ มศว” วันที่ 1 ธ.ค. 2560) ระบุว่า 1.การที่กล่องโฟมมีอุณหภูมิที่ร้อนขึ้นหรือเย็นลงทำให้สไตรีน ซึมเข้าสู่อาหารได้สูง 2.ถ้าปรุงอาหารโดยใส่น้ำมัน น้ำส้มสายชู แอลกอฮอล์ จะดูดสารสไตรีนจากกล่องโฟมได้มากกว่าปกติ
3.ถ้าซื้ออาหารใส่กล่องทิ้งไว้นานๆ และไม่ได้รับประทาน อาหารจะดูดสารสไตรีนได้มาก 4.ถ้านำอาหารที่บรรจุโฟมเข้าไมโครเวฟ สไตรีนจะไหลออกมาในปริมาณมาก และ 5.ถ้าอาหารสัมผัสพื้นที่ผิวกล่องโฟมมากๆ รวมถึงร้านไหนตัดถุงพลาสติกใส่รองอาหารมีโอกาสรับสารก่อมะเร็ง 2 เท่า ทั้ง สไตรีนและไดออกซินจากถุงพลาสติก
ฉะนั้น “ผู้บริโภคอาจต้องยอมจ่ายเพิ่ม” ดีกว่าป่วยแล้วเสียค่ารักษาพยาบาลที่สูงกว่ามาก ส่วนภาครัฐน่าจะมีมาตรการจูงใจให้เกิดการผลิตและใช้กล่องอาหาร “รักษ์โลก-รักสุขภาพ” เพื่อให้ต้นทุนถูกลงอีกทางหนึ่ง!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี