“เขตเศรษฐกิจพิเศษ” เป็นนโยบายสำคัญที่รัฐบาลโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีจุดยืนชัดเจนว่ามุ่งมั่นที่จะทำให้เกิดขึ้นให้ได้ อาทิ “คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 72/2557 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ” ที่ออกมาเมื่อเดือน มิ.ย. 2557 หรือเพียง 1 เดือนให้หลัง คสช. เข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศ
และหลังจากนั้นก็มีการดำเนินการมาตามลำดับ มีการเลือกพื้นที่ออกมาเป็น “5+5+3” อันหมายถึง “เขตเศรษฐกิจชายแดนระยะที่ 1” จำนวน 5 จังหวัดคือ ตาก มุกดาหาร สระแก้ว ตราด และสงขลา “เขตเศรษฐกิจชายแดนระยะที่ 2” จำนวน 5 จังหวัดคือ เชียงราย หนองคาย นครพนม กาญจนบุรี และนราธิวาส นอกจากนี้ยังมี“ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)” อีก 3 จังหวัดคือ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง
แน่นอนหากมองในแง่การพัฒนาเศรษฐกิจ “อุตสาหกรรมเป็นภาคส่วนสำคัญที่ทำรายได้ให้กับประเทศไทย” ดังตัวเลขที่คุ้นเคย “50-40-10” อันหมายถึงสัดส่วนผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี-GDP) เฉลี่ยในแต่ละปี ที่ภาคบริการ-ท่องเที่ยว มีมูลค่าในเศรษฐกิจไทยมากที่สุดคือประมาณร้อยละ 50รองลงมาคือภาคอุตสาหกรรม ประมาณร้อยละ 40 และภาคเกษตรที่มีมูลค่า GDP เพียงประมาณร้อยละ 10 “รัฐบาลทุกยุคสมัยไม่ว่าจะมีที่มาแบบใดจึงมักให้ความสำคัญกับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมเสมอ” และเขตเศรษฐกิจพิเศษก็ตอบโจทย์หลักคิดนี้ได้เป็นอย่างดี
แต่ในมิติอื่นๆ โดยเฉพาะสิ่งแวดล้อมที่สูญเสียรวมถึงชุมชนบางส่วนที่ไม่สามารถเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมแต่ที่ผ่านมายังพอมีชีวิตอยู่จากภาคเกษตรพื้นบ้านก็จะได้รับผลกระทบและคนกลุ่มนี้จำนวนมากเป็นคนชายขอบไม่ได้ร่ำรวยอยู่แล้ว หากที่อยู่อาศัยและที่ทำกินหายไปความเดือดร้อนย่อมมากเป็นทวีคูณ ทำให้หลายพื้นที่มีการลุกขึ้นต่อสู้คัดค้าน ดังเมื่อต้นเดือน ก.ย. 2561 ที่ผ่านมา ทีมงาน “นสพ.แนวหน้า” ติดตามคณะทำงานของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ลงพื้นที่ “บ้านบุญเรือง” ตั้งอยู่ที่ ต.บุญเรือง อ.เชียงของ จ.เชียงราย
ชาวบ้านบุญเรืองเล่าว่า ที่นี่อยู่ติดกับ “พื้นที่ป่าชุ่มน้ำ” และแม่น้ำอิง เป็นชุมชนเก่าแก่อายุกว่า 200 ปี มีความอุดมสมบูรณ์ ผู้คนใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายด้วยการประกอบอาชีพเกษตรกรรมและหาของป่า ในอดีตมีความพยายามจากภาคธุรกิจในการนำพื้นที่ป่าไปใช้ทำกิจกรรมต่างๆ เช่น โรงสีไฟ โรงบ่มใบยาสูบ แต่ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือเมื่อปี 2557-2558 เชียงรายเป็นจังหวัดที่ถูก “ปักหมุดหมาย” พัฒนาพื้นที่เชิงอุตสาหกรรมใน 3 อำเภอ คือ เชียงของ แม่สาย และเชียงแสน ซึ่งในส่วนของ อ.เชียงของ “ป่าบุญเรือง” พื้นที่ 3,706 ไร่ ก็ถูกนำไปบรรจุอยู่ในแผนด้วย
พิชเญศพงษ์ คุรุปรัชฌามรรค ตัวแทนประชาชนชาวบ้านบุญเรือง กล่าวว่า ชาวบ้านบุญเรืองกังวลใจหากมีเขตเศรษฐกิจพิเศษเกิดขึ้นจริงเพราะป่าชุ่มน้ำบ้านบุญเรืองยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของพันธุ์ปลาจำนวนมากอาจได้รับผลกระทบนอกจากนี้ชาวบ้านท้องถิ่นอาจกลายเป็นเพียง “พลเมืองชั้นสอง” เนื่องภาครัฐและภาคทุนคงเน้นไปอำนวยความสะดวกกับกิจกรรมในเขตเศรษฐกิจพิเศษมากกว่า
“เขาบอกว่าให้สิทธิพิเศษกับแรงงานไร้ฝีมือจากประเทศเพื่อนบ้าน อ้าว! แรงงานของเราที่อยู่ในพื้นที่ทำไมไม่เอา? แล้วส่งเสริมให้มีมหาวิทยาลัย มีโรงเรียน แล้วทำไมจะเอาแรงงานไร้ฝีมือจากเพื่อนบ้าน? สิทธิยกเว้นภาษี 8 ปีลดหย่อนภาษี 50 เปอร์เซ็นต์อีก 8 ปี แล้วจะเอาตรงไหนมาพัฒนากับเรา? แล้วก็มีคนของตัวแทนจัดหาพื้นที่ บอกว่าถ้าให้พื้นที่ตรงนี้จะพัฒนาเต็มที่ สาธารณูปโภคเต็มทั้งน้ำทั้งไฟฟ้า ถ้าชุมชนน้ำไฟไม่พอจะเอาไปขายให้ อ้าว! ก็มันอยู่ในพื้นที่ตรงนั้นอยู่แล้ว น้ำตั้ง 32 หนอง” พิชเญศพงษ์ กล่าว
อนึ่ง...ยังมีความกังวลกรณี “การสูญเสียพื้นที่ทำกินจากน้ำท่วม” อีกด้วย เนื่องจากในปี 2509 บ้านบุญเรืองเคยเจอเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ พื้นที่ไร่นาไม่สามารถเพาะปลูกได้และผู้คนต้องอพยพไปอยู่ในพื้นที่ชุมชนข้างเคียง ดังนั้นหากมีการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ สิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นคือ “การถมที่ให้สูง” ในพื้นที่ตั้งนิคมอุตสาหกรรมซึ่ง “ธรรมชาติของน้ำย่อมไหลจากที่สูงลงที่ต่ำ” พื้นที่ของชาวบ้านจึงสุ่มเสี่ยงต้องรับเคราะห์จากน้ำท่วมขังแทน
การต่อสู้ของชาวบ้านบุญเรืองนั้น “อยู่บนข้อเท็จจริง” โดยมีการรวบรวมข้อมูลพืชและสัตว์ในพื้นที่ที่ชาวบ้านใช้ประโยชน์ ในส่วนของพืชมีทั้งพืชใช้บริโภค เช่น ผักกูด หน่อไม้ ผักบุ้ง ผักกระเฉด กับพืชสมุนไพร เช่น ม้ากระทืบโรง ส้มป่อย ขี้เหล็ก และด้วยความที่เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำเชื่อมต่อกับแม่น้ำอิงในฤดูน้ำหลากเมื่อน้ำท่วมป่าจึงมีปลานานาชนิดเข้ามาวางไข่ จากนั้นเมื่อน้ำลดระดับลงปลาก็จะว่ายกลับไปอยู่ในแม่น้ำอิง เช่น ปลาดุก ปลาค้าว ปลาหลิม จนมีคนเปรียบป่าและลำน้ำที่นี่เสมือน “ซูเปอร์มาร์เก็ต” เพราะสามารถหาวัตถุดิบมาประกอบอาหารได้ง่าย
ตัวแทนชาวบ้านอีกราย สุวิทย์ การาหัน กล่าวว่า เมื่อน้ำลดระดับลงและปลาต่างๆ กลับออกจากป่าลงสู่แม่น้ำ พื้นที่ป่าที่ถูกน้ำท่วมจะปรากฏพืชจำพวกผักตามแนวพุ่มไม้หรือใต้ต้นไม้ ชาวบ้านสามารถมาเก็บไปบริโภคได้ และพื้นที่ป่ายังทำให้อากาศไม่ร้อนจนเกินไปแม้จะเป็นฤดูแล้งก็ตาม พร้อมกับย้ำว่าพื้นที่รอบๆ นี้ไม่มีที่ใดอุดมสมบูรณ์กว่าป่าชุ่มน้ำบุญเรืองอีกแล้ว
“พวกเราไม่ได้หวงห้าม คนต่างถิ่นที่อื่นสามารถมาหาปูหาปลากินได้ ไม่ใช่แต่เฉพาะบ้านบุญเรือง มีนักข่าวบางค่ายถามผมว่าให้ชาวบ้านอื่นมาหากินได้ไหม? ก็บอกไปว่าได้! ไม่ได้ห้าม แต่ห้ามตัดไม้ ห้ามนำหน่อไม้ออกไปเยอะๆ เอาไปขายอันนี้ไม่เอา เราจะดูแลกันตรงนี้ เอาไปให้พอกิน เอาไปแจกเพื่อนบ้าน แจกพี่แจกน้อง แจกเพื่อนฝูง
ผู้มีบุญคุณได้” สุวิทย์ ระบุ
ขณะที่ชาวบ้านบางรายอธิบายเสริมด้วยว่า บ้านบุญเรืองมีกลไกชุมชนที่ค่อนข้างเข้มแข็ง สามารถวางกฎระเบียบให้คนในชุมชนปฏิบัติตามได้ เช่น กำหนดพื้นที่ว่าจุดไหนเป็นพื้นที่อนุรักษ์พันธุ์ปลาหรือกำหนดช่วงเวลาที่ปลาจะวางไข่ พื้นที่หรือช่วงเวลาที่กำหนดนั้นห้ามจับสัตว์น้ำเด็ดขาด และการจับสัตว์น้ำต้องไม่ใช้เครื่องมือประมงที่มีลักษณะทำลายล้าง
ทางด้าน เตือนใจ ดีเทศน์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่นำคณะทำงานของ กสม. ลงพื้นที่ในครั้งนี้ กล่าวว่า การต่อสู้ของชาวบ้านเพื่อคัดค้านภาครัฐที่จะนำพื้นที่ป่าบุญเรืองไปทำเขตเศรษฐกิจพิเศษ เป็นการต่อสู้โดยใช้ข้อมูลทางวิชาการ ชี้ให้เห็นได้ชัดว่าพื้นที่ชุ่มน้ำแห่งนี้มีความสำคัญมาก เช่น เป็นพื้นที่รับน้ำสำหรับป้องกันน้ำท่วม เป็นความมั่นคงทางอาหาร เป็นความมั่นคงของระบบนิเวศที่เชื่อมกับแม่น้ำอิงซึ่งไหลลงแม่น้ำโขง
“การต่อสู้ของชาวบ้านทำให้จังหวัดเชียงราย โดยท่านผู้ว่าราชการจังหวัดและรัฐบาลยอมถอนข้อเสนอการใช้พื้นที่ชุ่มน้ำบุญเรืองเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ถือว่าเป็นตัวอย่างที่งดงาม เป็นตัวอย่างชัยชนะอย่างด้วยใช้หลักวิชาการและด้วยสันติวิธี” กสม. เตือนใจ กล่าวในท้ายที่สุด
องค์การสหประชาชาติ (UN) กำหนด “กรอบการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)” รวม 17 ข้อ และคาดหวังให้รัฐชาติต่างๆ นำไปปฏิบัติจนเห็นผลภายในปี 2573 ซึ่งใน 17 ข้อนี้มีถึง 9 ข้อที่เกี่ยวข้องกับประเด็นสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เช่น 1.ขจัดความยากจน 2.ขจัดความหิวโหย 3.มีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี 6.การจัดการน้ำและสุขาภิบาล 10.ลดความเหลื่อมล้ำ 12.การใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนและรับผิดชอบ
13.การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 14.การใช้ทรัพยากรในแหล่งน้ำอย่างยั่งยืน และ 15.การใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศ
ทางบกอย่างยั่งยืน ซึ่งประเทศไทยโดยนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ไปลงนามรับรอง SDGs ร่วมกับอีก 193 ประเทศทั่วโลกเมื่อเดือน ก.ย. 2558 ขณะเดียวกัน รัฐบาล คสช. ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ ยังประกาศปฏิรูปประเทศเพื่อให้คนไทยทุกกลุ่ม “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ลดช่องว่างรวย-จน ที่เป็นปัญหาเรื้อรังในสังคมไทยมานาน
ดังนั้นแม้รัฐบาลจะมีเจตนาดีที่ต้องการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยอุตสาหกรรม...แต่การเลือกพื้นที่ที่เหมาะสมและหามาตรการป้องกันหรือลดผลกระทบต่อประชาชนในภาคเกษตร ที่จำนวนมากเป็น “ผู้มีรายได้น้อย” ก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี