เมื่อสัปดาห์ก่อน “สกู๊ปแนวหน้า” กล่าวถึงการพัฒนาเมืองเพื่อตอบสนองต่อรสนิยมของชนชั้นกลางระดับบน (Upper Middle Class) ที่ด้านหนึ่งสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจแต่อีกด้านก็กระทบต่อชุมชนบริเวณนั้น จนนำไปสู่ความขัดแย้ง ส่วนในสัปดาห์นี้จะเป็นการบอกเล่าถึง “ประวัติศาสตร์การพัฒนาเมือง” ที่มีการเปลี่ยนแปลงองค์ความรู้ไปตามกาลเวลา ว่ายุคใดมีหลักคิดอย่างไรบ้าง ซึ่งยังอยู่กันที่งานเสวนา “ทำยังไงไม่ให้ทะเลาะกัน? ประวัติศาสตร์การพัฒนาและชุมชนเมือง” จัดโดยภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
รังสิมา กุลพัฒน์ นักวิชาการด้านผังเมือง แคโรไลนา เอเชีย เซ็นเตอร์ มหาวิทยาลัยนอร์ท แคโรไลนา แชเปิลฮิลล์ สหรัฐอเมริกา (Carolina Asia Center, University of North Carolina at Chapel Hill, USA) กล่าวว่า ผังเมืองแบบสมัยใหม่เริ่มเกิดขึ้นเมื่อเข้าสู่ “ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม” หรือราว 200 ปีก่อน ที่ผู้คนจากทั่วสารทิศเริ่มอพยพเข้ามาเป็นแรงงานตามโรงงานต่างๆ ในเขตเมือง การสร้างที่อยู่อาศัยสำหรับแรงงานย้ายถิ่นเป็นไปอย่างตามมีตามเกิด “ชุมชนแออัด (สลัม - Slum)” ปรากฏขึ้นทั่วไปเพราะแนวคิดการควบคุมมาตรฐานที่อยู่อาศัยโดยรัฐยังไม่เกิดขึ้น
“ในปี 1902 (พ.ศ.2445) มีนักคิดชาวอังกฤษชื่ออีเบเนเซอร์ โฮเวิร์ด (Ebenezer Howard) เขาเขียนหนังสือการ์เด้น ซิตี้ ออฟ ทูมอร์โรว์ (Garden Cities of Tomorrow) บอกว่าโรงงานอุตสาหกรรมมีมลภาวะทำให้บ้านเมืองไม่น่าอยู่ เขาอยากให้มีความชนบทผสมผสานด้วย เน้นว่าเมืองของเขาต้องไร้ควันพิษ (Smikeless) ต้องไม่มีสลัม (Slumless) ควรมีการเชื่อมต่อเมืองที่ทำงาน การพัฒนาเมืองยุคนี้เริ่มมีระบบคมนาคมขนส่ง เช่นรถไฟใต้ดิน” รังสิมา กล่าว
ไม่ต่างจากในสหรัฐอเมริกา ณ ช่วงเวลาเดียวกัน ที่การสร้างเมืองเน้นแยกกันเด็ดขาดระหว่างย่านที่อยู่อาศัย ย่านการค้า ย่านสถานที่ราชการ ฯลฯ บนหลักคิดที่ว่า “การแยกพื้นที่เมืองเป็นย่านต่างๆ ทำให้ง่ายในการดูแลบริหารจัดการ” ต่างจากประเทศไทยที่ในย่านหนึ่งมักรวมทุกอย่างทั้งบ้านเรือนประชาชน สถานที่ราชการ บริษัทห้างร้าน ฯลฯ อยู่ในพื้นที่เดียวกัน และด้วยความที่โลกตะวันตกมีบทบาทมากในเวลานั้น เช่น อังกฤษ - ฝรั่งเศส มีอาณานิคมอยู่ทั่วโลก หลักคิดการสร้างเมืองแบบตะวันตกข้างต้นจึงถูกถ่ายทอดไปยังดินแดนอาณานิคมด้วย
ผู้เชี่ยวชาญผังเมืองท่านนี้ เล่าต่อไปว่า ต่อมาในปี 1961 (พ.ศ.2504) เควิน ลินช์ (Kevin Lynch) นักคิดชาวอเมริกัน เขียนหนังสือ “ดิ อิมเมจ ออฟ เดอะ ซิตี้ (The Image of the City)” เสนอแนะว่า “การพัฒนาเมืองอาจมีหลากหลายรูปแบบก็ได้ตามบริบทที่แตกต่างกัน” อันเป็นแนวคิดแบบ “กระจายอำนาจ” ทำให้แต่ละเมืองมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว จากเดิมที่การวางผังเมืองจะเป็นนโยบายจากส่วนกลางสั่งการลงมาเป็นหลัก
แต่คนที่ “พลิกมุมมอง” การพัฒนาเมืองอย่างสิ้นเชิง กลับไม่ใช่สถาปนิกหรือนักผังเมือง หากแต่มีอาชีพเป็นสื่อมวลชน เจน จาค็อบส์ (Jane Jacobs) ชาวอเมริกัน ผู้มีชีวิตอยู่ช่วงปี 2449-2559 ซึ่ง “ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดการพัฒนาเมืองของอีเบเนเซอร์ โฮเวิร์ด” พร้อมกับเสนอแนะว่า “เมืองที่ดีนั้นผู้คนต่างสถานะควรสามารถอยู่ร่วมกันได้” ไม่ใช่ต้องมีแต่สิ่งสวยงามอย่างเดียว เมืองจึงต้องมีความหลากหลาย มีชีวิตชีวาน่าดึงดูดใจ และนักคิดยุคหลังจากนั้นก็เริ่มพูดถึง “การพัฒนาเมืองแบบมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย” อย่างต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน
แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนไป แต่ดูเหมือน “รัฐไทยอยากหยุดเวลา” ไว้กับหลักคิดเมื่อร้อยกว่าปีก่อนเสียมากกว่า รังสิมา ยกตัวอย่างกรณี “ป้อมมหากาฬ” ที่แม้จะมีนักวิชาการมากมายชี้ว่า “ชุมชนกับโบราณสถานอยู่ด้วยกันได้” พร้อมเสนอทางออก แต่ “ภาครัฐกลับยึดติดกับหลักคิดและกฎหมายเดิมๆ” เมื่อกว่า 30-40 ปีก่อนที่ต้องการทำพื้นที่ให้โล่งสำหรับสร้างสวนสาธารณะ ไม่ยอมรับแนวคิดใหม่ๆ และจบลงด้วยการ “ไล่รื้อ” จนราบคาบในที่สุด
เช่นเดียวกับการมีส่วนร่วม พบว่า “กรรมการผังเมืองตามกฎหมายไทยส่วนใหญ่เป็นข้าราชการและมักไม่ใช่นักผังเมือง” อีกส่วนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ “แต่ที่ขาดหายไปคือภาคประชาชน” รวมถึงการจัดระเบียบต่างๆ แล้วมีเสียงสนับสนุนให้เหตุผลว่ากิจกรรมที่ถูกจัดระเบียบไปเกิดขึ้นโดยผู้ที่ไม่ใช่คนมีภูมิลำเนาแท้ๆ ในเมืองนั้น เรื่องนี้ในต่างประเทศก็เปลี่ยนแนวคิดไปแล้ว บางประเทศแม้แต่ผู้อยู่อย่างผิดกฎหมายก็ยังจ่ายภาษีเข้ารัฐได้เสียด้วยซ้ำไป
“เขาไม่ได้เรียกว่าพลเมือง แต่เขาเรียกผู้อยู่อาศัย ยกตัวอย่างที่อเมริกา เขาขอกรีนการ์ด บอกเสียภาษีมาตลอด 20 ปี ใบสมัครของเขาก็เขียนว่าคุณต้องเป็นผู้ที่อยู่อาศัย กรณีนี้เคยมีอย่าง กทม. พูดเรื่องป้อมมหากาฬ บอกว่าคนที่อยู่ไม่ใช่คนพื้นที่แท้ๆ แต่เราคิดว่าเราซื้อบ้านจัดสรรเราก็ไม่มีสิทธิ์อยู่ เพราะพ่อแม่เราก็ไม่ได้อยู่ตรงทุ่งนานี้ในอดีตแล้วตอนนี้ก็พัฒนามา มันไม่มีอะไรแท้ในโลกนี้หรอก ทุกคนทุกอย่างมันผสมกันหมด” รังสิมา ระบุ
อีกด้านหนึ่ง รศ.ชาตรี ประกิตนนทการ อาจารย์ภาควิชาศิลปสถาปัตยกรรม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร กล่าวเพิ่มเติมถึงนโยบายจัดระเบียบ “สตรีทฟู้ด” (Street Food) หรือร้านค้าแผงลอยในปัจจุบันที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างกลุ่มที่เห็นร้านค้าแผงลอยเป็นที่พึ่งของคนรายได้น้อยในเมืองทั้งคนขายและคนซื้อ กับกลุ่มที่มองแผงลอยกีดขวางทางเท้าทำให้เมืองไม่เป็นระเบียบ ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากสังคมไทยมักมองอะไรแบบสุดโต่ง “ไม่ขาวก็ดำ - ไม่ซ้ายก็ขวา” ไม่มีการหาทางออกที่อยู่ตรงกลาง
“สตรีทฟู้ดที่รุกทางเท้าเป็นปัญหา แต่การแก้ปัญหาก็ไม่ใช่ว่าเอาออกหมด ตอนนี้เรามีแต่คงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลงกับเอาออกไปให้หมด ทำไมเราไม่สร้างทางเลือกที่ 3 สมมุติสตรีทฟู้ดมันใช้พื้นที่เยอะ ทำไมเราไม่ใช้นักออกแบบมาออกแบบที่ขายให้กินพื้นที่น้อยลง หรือถ้ามีปัญหาเรื่องความไม่สะอาดทำไมเราไม่ตกลงพูดคุย มีกฎระเบียบดูแลความสะอาด คือมันมีทางออกที่ดีกว่าอยู่เสมอ แต่รัฐไทยไม่ค่อยมองแบบนั้น” รศ.ชาตรี ฝากข้อคิด
ความรู้ด้านการพัฒนาเมืองมีประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย จากแรกเริ่มให้พอมีที่ซุกหัวนอนในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม เปลี่ยนสู่ยุคการกำจัดมุมไม่สวยงามออกไปจากเมือง แล้วก็เปลี่ยนอีกครั้งสู่ยุคที่คนทุกชนชั้นควรมีสิทธิ์อยู่ในเมืองผ่านการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ผลักดันให้ผู้ถืออำนาจรัฐอยากพัฒนาเมืองเพื่อตอบโจทย์ผู้มีกำลังซื้อสูง ซึ่งทางที่ผู้มีอำนาจตัดสินใจเลือกย่อมจะบอกได้ว่า..
“ความจริงใจ” ต่อหลัก “ธรรมาภิบาล - ประชาธิปไตย” ของผู้มีอำนาจนั้นเป็นอย่างไร!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี