หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล วัดเลียบ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ได้แต่งหนังสือธรรมปฏิบัติเล่มหนึ่งชื่อ "จตุรารักษ์" ซึ่งแสดงถึงการนึกถึงคุณพระรัตนตรัย เจริญเมตตา อสุภ และมรณสติ ทั้ง 4 อย่างนี้ ท่านกล่าวว่า "จตุรารักษ์" เป็นธรรมป้องกันปกครองรักษาผู้ที่เจริญนั้นให้พ้นจากทุกข์ภัยอันตราย วิบัติทั้งสิ้นได้ และเป็นทางสวรรค์และนิพพานด้วย
1.ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย : อนึ่ง เมื่อระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย พึงระลึกได้ดังนี้ก็ได้ว่า เพลิงกิเลส เพลิงทุกข์ลุกโพลงรุ่งเรืองไหม้สัตว์เผาสัตว์ให้รุ่มร้อนอยู่เป็นนิตย์ในภพทั้ง 3 เพลิงกิเลสนั้นคือราคะ ความกำหนัดยินดี โทสะ ความเคืองคิด ประทุษร้าย และโมหะ ความหลงไม่รู้จริง
ราคะ โทสะ โมหะ ทั้ง 3 นี้ท่านกล่าวว่าเป็นเพลิงเป็นเครื่องร้อนกระวนกระวายของสัตว์ เพลิงทุกข์ นั้นคือ ชาติ ความเกิดคือ ขันธ์ อายตนะ และนามรูปที่เกิดปรากฏขึ้น ชรา ความแก่ทรุดโทรมคร่ำคร่า และมรณะ ความตายคือ ชีวิตขาดกายแตกวิญญาณดับ โสกะ ความเหือดแห้งใจเศร้าใจ ทุกข์ ทนยากเจ็บปวดเกิดขึ้นในกาย โทมนัส ความเป็นผู้มีใจชั่วเสียใจ อุปายาส ความคับแค้นอัดอั้นใจ ทุกข์มีชาติเป็นต้นเหล่านี้ท่านกล่าวว่าเป็นเพลิง เพราะเป็นทุกข์ให้เกิดความร้อนรนกระวนกระวายต่างๆ แก่สัตว์ เพลิงกิเลสทุกข์เหล่านี้ ยกพระพุทธเจ้าเสียแล้วไม่มีผู้ใดผู้หนึ่งในโลกดับได้ แต่ผู้ที่จะรู้ว่าเป็นเพลิงเครื่องร้อนเท่านั้น ก็หายากเสียแล้ว
ผู้ที่จะดับเพลิงนั้นจะได้มาแต่ไหนเล่า ก็ในโลกทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่มีผู้ใดผู้หนึ่งดับได้ จึงพากันร้อนรนกระวนกระวายอยู่ด้วยเพลิงหมดทั้งโลก ก็ไม่รู้สึกตัวว่าเพลิงไหม้มันเผาเอาให้เร่าร้อนอยู่เป็นนิตย เพราะอวิชชาความหลงไม่รู้จริง
สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พระผู้มีพระภาค เป็นที่พึ่งของเรา พระองค์ตรัสรู้จริงเห็นจริง ดับเพลิงกิเลส เพลิงทุกข์ของพระองค์ได้แล้วคือ ทำให้แจ้งซึ่งกิเลสนิพพานได้แล้วทรงสั่งสอนสัตว์ให้รู้ตามเห็นตาม ดับเพลิงกิเลส เพลิงทุกข์ ทำให้รู้แจ้งซึ่งพระนิพพานได้ด้วยพระองค์นั้น จึงเป็นผู้เลิศกว่าสัตว์ประเสริฐ เป็นผู้อัศจรรย์ใหญ่ยิ่งนัก ควรเลื่อมใสจริงๆ
สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม พระธรรมที่เป็นที่พึ่งของเรา ที่พระผู้มีพระภาค ตรัสแล้วทรงคุณคือ ดับเพลิงกิเลส เพลิงทุกข์ของสัตว์ผู้ปฏิบัติชอบ ช่วยให้พ้นทุกข์ภัยทั้งสิ้นได้ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา มรรค ผล นิพพาน พระธรรมนั้นท่านทรงคุณคือ ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์ได้อย่างนี้ จึงเป็นอัศจรรย์ใหญ่ยิ่งนัก ควรเลื่อมใสจริงๆ
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ พระสงฆ์ผู้สาวกของพระผู้มีพระภาค ที่เป็นที่พึ่งของเรา ท่านปฏิบัติดีแล้ว ทำให้บริบูรณ์ในศีล สมาธิ ปัญญา บรรลุมรรคผล ทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์ของตนได้แล้ว สั่งสอนให้ผู้อื่นรู้เห็นรู้ตาม ดับเพลิงกิเลสทุกข์ได้ และเป็นเหตุให้เกิดบุญเกิดกุศลแก่เทวดา มนุษย์มากมายนัก พระสงฆ์นั้นท่านปฏิบัติอย่างนี้จึงเป็นอัศจรรย์ใหญ่ยิ่งนัก ควรเลื่อมใสจริงๆ
เมื่อนึกถึงคุณพระรัตนตรัย พระธรรม พระสงฆ์ 3 รัตนะนี้ ตรึกตรองด้วยปัญญาครั้นเห็นจริงเกิดความเลื่อมใสขึ้นแล้ว เมื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ 3 รัตนะนี้เป็นที่พึ่งของตนจริงๆ เสมอด้วยชีวิตแล้ว ท่านกล่าวว่าถึงสรณะแล้ว มีผลานิสงส์ใหญ่ยิ่งกว่าทานหมดสิ้น ผลที่สุดวิเศษย่อมมีแก่ผู้เลื่อมใสในรัตนะทั้งสามนั้น และย่อมให้สำเร็จความปรารถนาแก่สัตว์ผู้เลื่อมใสได้ทุกประการ เหตุนั้น เราทั้งหลายจงอุตส่าห์นึกถึงพระคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้เกิดความเลื่อมใสทุกๆ วันเถิด จะได้ไม่เสียทีประสบพบพระพุทธศาสนานี้
2.เจริญเมตตา : อนึ่ง เมื่อเจริญเมตตาภาวนานี้ เป็นข้าศึกแก่พยาบาทโดยตรง เมื่อเจริญเมตตานี้ ย่อมละพยาบาทเสียโดยดี เมตตานี้ชื่อว่าเจโตวิมุตติ เพราะเป็นเครื่องหลุดพ้นจากพยาบาทของใจ มีผลานิสงส์ยิ่งใหญ่กว่าทานและศีลหมดทั้งสิ้น เมตตามีอานิสงส์วิเศษมากต่างๆ ดังว่ามานี้ เหตุนั้นเราทั้งหลายจงอย่าได้ประมาทในเมตตาภาวนานี้เลย อุตส่าห์เจริญเถิด จะได้ประสบอานิสงส์วิเศษต่างๆ ซึ่งว่ามานี้เทอญ
3.เจริญอสุภ : อนึ่ง เมื่อเจริญอสุภกรรมฐาน (อสุภสัญญา) นี้ เป็นข้าศึกแก่ราคะ ความกำหนัดยินดีโดยตรง ผู้ใดเจริญอสุภเห็นเป็นของไม่งามในกาย เห็นกายเป็นของไม่งามปฏิกูลน่าเกลียด จะเกิดความเบื่อหน่ายไม่กำหนัดยินดี ดับราคะ โทสะ โมหะเสียได้ ผู้นั้นได้ชื่อว่าดื่มกินซึ่งรสคือ พระนิพพาน เป็นสุขอย่างยิ่ง เหตุนั้นพระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสสรรเสริญกายคตาสติอสุภกรรมฐานนี้ว่า
"ผู้ใดได้เจริญกายคตาสตินี้ ผู้นั้นได้ชื่อว่าบริโภคซึ่งรสคือ นิพพาน เป็นธรรมมีผู้ตายไม่มี อมตธรรม" ดังนี้ นิพพานนั้นก็ดับราคะ โทสะ โมหะนั้นเอง เหตุนั้น เราทั้งหลายจงอย่าได้ประมาทในกายคตาสตินี้เลย อุตส่าห์เจริญเถิด จะได้ประสบพบนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง เลิศกว่าธรรมทั้งสิ้น
4.เจริญมรณสติ : อนึ่ง การเจริญมรณสติ พึงเจริญดังนี้ ก็ได้ว่า “เรามีความตายเป็นธรรมดา ล่วงความตายไปไม่ได้แล้ว” ความตายนั้น คือ สิ้นลมหายใจ กายแตก วิญญาณดับ เหตุนั้น เราจงเร่งขวนขวายก่อสร้างบุญกุศล ซึ่งเป็นที่พึ่งของตนเสียให้ได้ทันขณะมีชีวิตอยู่นี้เถิด อย่าให้ทันความตายมาถึงเข้า ถ้าความตายมาถึงเข้าแล้ว จะเสียทีที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนานี้ทีเดียว
ผู้ใดได้เจริญมรณสติ นึกถึงความตายได้เห็นจริง จนเกิดความสังเวชได้ ผู้นั้นย่อมไม่เมาในชีวิต ละอาลัยในชีวิตเสียได้ เป็นผู้ไม่ประมาท รีบร้อนปฏิบัติละบาปบำเพ็ญบุญกุศล ชำระตนให้เป็นผู้บริสุทธิ์โดยเร็วพลัน เพราะเหตุนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสสรรเสริญมรณสติที่บุคคลเจริญทำให้มากนี้ ว่ามีผลานิสงส์ใหญ่ยิ่งมากนัก นับเข้าในพระนิพพาน เป็นธรรมมี ผู้ตายไม่มี ดังนี้
**(คัดลอกจากหนังสือ"ประวัติย่อและธรรมปฏิบัติของหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล"**
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี