กรุงเทพมหานคร..เมืองหลวงของประเทศไทยที่แม้จะมีเนื้อที่เพียง 1.5 พันตารางกิโลเมตร (ตร.กม.) เศษๆ แต่ที่นี่คือดินแดนแห่งโอกาสของชีวิต ว่ากันว่าในขณะที่กรุงเทพฯ มีประชากรตามฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ราว 5 ล้านคน แต่ความเป็นจริงมีมากกว่านั้นเป็นเท่าตัวดังที่มีการคาดเดากันตั้งแต่ 10 ล้านคน ไปจนถึง 15 ล้านคน เนื่องจากคนไทยจากทั่วสารทิศนิยมเดินทางเข้ามาเรียนบ้างทำงานบ้าง ภาพของสถานีขนส่งที่แออัดและการจราจรที่คับคั่งช่วงหยุดยาวเทศกาลปีใหม่ - สงกรานต์ จากผู้คนที่เดินทางกลับภูมิลำเนาคือหลักฐานที่ชัดเจนในเรื่องนี้
ไม่เพียงแต่เฉพาะคนไทย..กรุงเทพฯ ยังเป็น 1 ในเมืองสำคัญที่คนทั่วโลกให้ความสนใจ อาทิ การจัดอันดับของ “มาสเตอร์การ์ด (Mastercard)” ผู้ให้บริการบัตรเครดิตชั้นนำ พบว่า “กรุงเทพฯ ครองแชมป์เมืองที่ผู้คนเดินทางมาเยือนมากที่สุดในโลก 3 ปีซ้อน” ระหว่างปี 2559 - 2561 จากทั้งหมดร้อยกว่าเมืองทั่วโลก ดังนั้นหากกรุงเทพฯ มีปัญหาเกิดขึ้น ปัญหานั้นย่อมได้รับความสนใจในระดับนานาชาติไปด้วย
ดังเมื่อเร็วๆ นี้ เว็บไซต์ นสพ.The Guardian ของอังกฤษ นำเสนอรายงานพิเศษเรื่อง “As Bangkok sinks, could this anti-flood park be the answer? (กรุงเทพฯ จมน้ำ , สวนสาธารณะรับมืออุทกภัยคือคำตอบ?)” เนื้อหาว่าด้วยความพยายามของนักออกแบบที่ต้องการหาแนวทางรับมือปัญหาน้ำท่วมในกรุงเทพฯ ซึ่งเมืองหลวงของไทยเคยผ่านเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ครั้งร้ายแรงเมื่อปี 2554 มาแล้ว
รายงานของ The Guardian เปิดเรื่องด้วยการอ้างอิงข้อมูลของ “กรีนพีช (Greenpeace)” องค์กรเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมระดับสากล ที่ระบุว่า กรุงเทพฯ เมืองที่มีประชากรมากกว่า 10 ล้านคน กำลังประสบปัญหาแผ่นดินทรุดตัวลงเฉลี่ย 2 เซนติเมตร (ซม.) ต่อปี สวนทางกับระดับน้ำในอ่าวไทยที่เพิ่มขึ้น 4 มิลลิเมตร (มม.) ต่อปี ซึ่งเพิ่มสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลก โดยกรุงเทพฯ นั้นอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 1.5 เมตร
“ฝันร้ายของคนไทย (และโดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ)” เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี 2554
กชกร วรอาคม (Kotchakorn Voraakhom) อาชีพสถาปนิก เธอเล่าว่าเป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิด ซึ่งเมื่อครั้งยังเป็นเด็กเธอชอบมากหากช่วงไหนที่มีน้ำท่วมเพราะรู้สึกสนุกกับการผลักเรือเล็กๆ ออกไปบนถนนที่เปลี่ยนสภาพเป็นคลอง แต่เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 ทำให้สิ่งที่เคยเห็นเป็นความสนุกในวัยเด็กกลายเป็นภัยพิบัติ และมันอาจจะเลวร้ายลงได้อีก
คำตอบของปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ อาจอยู่ที่สวนขนาด 11 เอเคอร์ (หรือ 27.83 ไร่) ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันการศึกษาที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองกรุงเทพฯ ความน่าสนใจของสวนแห่งนี้คือภายใต้ร่มไม้ใบหญ้าที่ปกคลุมด้านบน มันคืออุโมงค์กักเก็บน้ำใต้ดินขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับน้ำได้มากถึง 1 ล้านแกลลอน (หรือประมาณ 3.78 ล้านลิตร) ยามเกิดฝนตกน้ำท่วมก่อนระบายลงสู่ระบบท่อระบายน้ำของกรุงเทพฯ เมื่อปริมาณฝนลดลง นอกนากนี้จะเก็บไว้ใช้ในหน้าแล้งได้ด้วย
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า โครงการสวนสาธารณะที่มีอุโมงค์เก็บน้ำซ่อนอยู่ใต้ดินโดยกชกรในนามบริษัทของเธอคือ Landprocess ยังมีที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อีกแห่งหนึ่ง มีเนื้อที่ 36 เอเคอร์ (หรือ 91.08 ไร่) ซึ่งจะเปิดตัวในปี 2562 เธอกล่าวว่า ในปี 2560 มีครั้งหนึ่งฝนตกหนักมากกินเวลาถึง 6 ชั่วโมง และถนนรอบๆ สวนถูกน้ำท่วม แต่ตัวสวนยังสามารถรองรับน้ำไว้ได้
สำหรับแรงบันดาลใจในการออกแบบสวนที่มีอุโมงค์เก็บน้ำใต้ดิน กชกร กล่าวว่ามีที่มาจาก “แก้มลิง (Monkey Cheeks)” อันเป็นโครงการในพระราชดำริของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (King Bhumibol Adulyadej) พระมหากษัตริย์ไทยซึ่งเสด็จสวรรคตเมื่อปี 2559 โดยลิงนั้นสามารถอมกล้วยไว้ที่กระพุ้งแก้มได้คราวละมากๆ ซึ่งพระองค์ทรงส่งเสริมให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทยนำแนวคิดดังกล่าวไปใช้บรรเทาปัญหาน้ำท่วมด้วยการหาพื้นที่รองรับน้ำชั่วคราว
โครงสร้างสวนที่มีอุโมงค์เก็บน้ำอยู่ข้างใต้
ขณะที่ รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ (Seri Suptharathit) ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่า กรุงเทพฯ มีพื้นที่สีเขียวลดลงอย่างมาก จากเดิมที่มีถึงร้อยละ 40 ของพื้นที่ทั้งหมดเมื่อ 20 ปีก่อน ปัจจุบันเหลือเพียงไม่ถึงร้อยละ 10 ของพื้นที่ทั้งหมด นั่นทำให้ความเสี่ยงจากน้ำท่วมของกรุงเทพฯ เพิ่มสูงขึ้น ขณะเดียวกันกรุงเทพฯ ยังฝากความหวังกับโครงสร้างป้องกันหลักอย่างเขื่อนและคลองมากเกินไป ซึ่งสวนของกชกรช่วยได้ นอกจากนี้ยังเสนอว่าควรจ่ายเงินเยียวยากับชาวนาเพื่อให้ใช้พื้นที่นาเป็นที่รับน้ำในช่วงฤดูฝนด้วย
ด้านความเคลื่อนไหวของ กรุงเทพมหานคร (กทม.) ในฐานะรัฐบาลส่วนท้องถิ่น มีการอนุมัติงบประมาณถึง 2.6 หมื่นล้านบาท ในโครงการป้องกันน้ำท่วมรวมทั้งหมด 28 โครงการ ทั้งการสร้างพนังกั้นน้ำ อุโมงค์ระบายน้ำ รวมถึงการขุดลอกคูคลองทั่วเมือง โดย ศักดิ์ชัย บุญมา (Sakchai Boonma) ผู้อำนวยการสำนักผังเมือง กทม. เปิดเผยว่า พื้นที่ทางตะวันออกของ กทม. ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่รองรับน้ำแล้วตั้งแต่ปี 2556 อย่างไรก็ตามการบรรเทาปัญหาน้ำท่วมจำเป็นต้องมีมาตรการควบคุมการก่อสร้าง และตอนนี้ต้องมีพื้นที่ว่างให้น้ำถูกดูดซึมลงใต้ดิน
ด้านบนสามารถใช้ประโยชน์เป็นสวนสาธารณะได้
ศักดิ์ชัย กล่าวต่อไปว่า กรุงเทพฯ นั้นขยายความเป็นเมืองออกไปทุกทิศทาง แต่หน่วยงานด้านผังเมืองมีหน้าที่ป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ถึงกระนั้น อาจารย์เสรี มองว่า เมื่อเกิดน้ำท่วมคนระดับล่างจะได้รับผลกระทบค่อนข้างหนัก เนื่องจากคนกลุ่มนี้อยู่อาศัยในอาคารเก่าที่ไม่ได้รับการคุ้มครองจากโครงการป้องกันน้ำท่วมใหม่ๆ ซ้ำร้ายที่อยู่ของพวกเขาอาจถูกรื้อย้ายเพื่อแทนที่ด้วยสิ่งก่อสร้างในโครงการป้องกันน้ำท่วมตามคลองต่างๆ ดังนั้นคำถามคือในขณะที่ผู้แข็งแกร่งสามารถอยู่รอดด้วยโครงการขนาดใหญ่ แล้วคนทั่วไปจะทำอย่างไร?
ก่อนหน้านี้อาจารย์เสรีและทีมงานเคยทำการวิจัยพบว่ากรุงเทพฯ จะต้องเผชิญกับปัญหาอุทกภัยที่หนักหน่วงรุนแรงขึ้น และคาดว่าในปี 2643 เกือบทั้งเมืองจะจมอยู่ใต้น้ำ ส่วน ธารา บัวคำศรี (Tara Buakamsri) ผู้อำนวยการกรีนพีซประจำประเทศไทย กล่าวว่า ไม่มีใครรู้ได้ว่าช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดจะมาถึงเมื่อใด อันหมายถึงจะมีทั้งน้ำทะเลหนุน ฝนตกหนักและมวลน้ำที่ไหลบ่ามาจากทางเหนือเกิดขึ้นพร้อมกัน
รายงานของ The Guardian ทิ้งท้ายไว้ด้วยคำถามที่น่าคิดของกชกร “มันสายไปแล้วหรือ?” โดยเธอบอกว่า “วันนี้ยังไม่สามารถตอบคำถามดังกล่าว แต่รู้เพียงต้องพยายามลงมือทำให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” และเชื่อว่าสวนของเธอจะไม่เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ในการแก้ไขปัญหาเท่านั้น แต่จะทำให้เกิดความตระหนักขึ้น และแสดงให้เห็นว่าสังคมสามารถทำอะไรได้ในอีก 100 ปีข้างหน้า!!!
-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-
เรียบเรียงจาก : https://www.theguardian.com/cities/2018/oct/03/as-bangkok-sinks-could-this-anti-flood-park-be-the-answer
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี