เรื่องราวของ ยายพูล เอี๊ยวถาวร อายุ 90 ปี หญิงชรา ที่ใช้ชีวิตลำพังในเพิงพักริมถนนเพชรเกษม กลางเมืองนครปฐม เหมือนรอวันให้หมดลมหายใจไปตามกาลเวลา ทุกวันยายพูล ต้องนั่งยองกับพื้นแล้วค่อยๆ ก้าวขาไปช้าๆ เพื่อจะไปยังร้านสะดวกซื้อที่อยู่ห่างไปประมาณ 50 เมตร แม้ระยะทางจะไม่ไกล แต่ยายพูลต้องใช้เวลานานถึง หนึ่งชั่วโมงครึ่ง สำหรับการไปและกลับเพื่อไปหาข้าวและนมเพื่อประทังชีวิตให้ผ่านไปในแต่ละวัน
ภาพดังกล่าวอาจจะเป็นสิ่งที่ชินตาและคุ้นเคยของพนักงานร้านสะดวกซื้อและพนักงานในปั๊มน้ำมัน แต่มีผู้คนที่สัญจรไปมาไม่น้อยที่ได้พบกับหญิงชราที่กำลังต่อสู้กับสังขารที่ร่วงโรยเพื่อความอยู่รอดเกิดความสะเทือนใจกับภาพที่ได้เห็น หลายคนพยายามจะเข้าไปสอบถามเพื่อให้ความช่วยเหลือ แต่บ่อยครั้งที่ยายพูล จะปฎิเสธโดยให้เหตุผลด้วยคำว่าเกรงใจ สิ่งที่ชัดเจนคือหยิบยืนข้าวและนมหรือเศษเงินที่พอจะแบ่งปันกันได้ในสังเท่านั้น
แต่สิ่งที่หลายคนไม่เคยรู้เลยว่าในความเป็นจริงที่พักของยายพูล ที่ใช้อาศัยหลับนอนและหลบแดดฝนนั้นตั้งอยู่ริมถนนเพชรเกษม ถนนที่มีรถสัญจรผ่านไปมาตลอดทั้งวันทั้งคืน เพิงพักที่มีนักศึกษาใจบุญ ได้รวมพลังกันเอาเศษไม้เก่าๆ และสังกะสีมาตีปะให้เป็นกรอบเพื่อให้ยายพูล ได้อยู่อาศัยลำพัง ซึ่งที่นั่นภายในเต็มไปด้วยกองขยะ มด หนอน และสัตว์เลื้อยคลานนานาชนิดที่ได้มาอาศัยอยู่ร่วมกัน และยายพูลได้ใช้ชีวิต นอน กิน และขับถ่ายอยู่บนเตียงไม้เก่า ๆ สภาพที่ปรากฏคือ มีจานข้าวที่มีอาหารบูดเน่า คละผสมกับกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่ว เนื้อตัวของยายพูล มีกลิ่นสาปติดตัวเพราะไม่ได้อาบน้ำมานาน เสื้อผ้าไม่เคยซัก เนื่องจากที่เพิงพักไม่มีไฟฟ้าและน้ำประปาใช้
หลังทราบเรื่องจากลูกศิษย์ พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม ได้เข้าไปสอบถามข้อมูล โดยเบื้องต้นทราบว่า สภาพชีวิตขอยายพูลนั้นอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ เพิงพักที่อยู่ถูกปกปิดด้วยสายตาของผู้คนไว้ด้วยกองขยะมหึมา แต่ไม่มีใครรู้ว่าที่นั่น มียายแก่ๆ นั่งเหม่อลอยมองออกไปนอกถนนด้วยความหดหู่ สิ้นหวัง สามีเสียชีวิตไปเมื่อไม่กี่ปี จากร่างกายที่เดินได้ ด้วยความชราวันนี้ไม่สามารถยืนได้ ที่น่าหดหู่คือ มีญาติพี่น้องแต่ไม่เคยแวะเวียนเข้ามาหาหรือดูแล ปล่อยให้เป็นคนอนาถาไร้ญาติ เอกสารในตัวสูญหายเพราะถูกขโมย ย่องเข้ามาเอากระเป๋าสตางค์ไปหมด
ยายพูล บอกว่า ได้อยู่ตรงนี้มาก่อนที่จะมีการสร้างถนนเพชรเกษม จุดที่เป็นถนนคือสวนและไร่เก่าของเธอ ซึ่งเมื่อก่อนก็ใช้เป็นที่ทำกิน กับสามี พอมีฐานะบ้างและชอบทำบุญ โดยเคยสร้างสะพานข้ามถนนถวายวัดในกรุงเทพฯ มาแล้วสมัยยังพอมีเงิน แต่เมื่อเวลาผ่านไปร่างกายที่เริ่มถดถอยไม่มีแรงที่จะทำการเกษตรก็ต้องกินเงินเก่าจนหมด บ้านพักที่เป็นบ้านไม้ก็ผุพังไปตามกาลเวลาสุดท้าย มีคนรู้จักมาปลูกบ้านไม้เล็กๆ ให้อีกหลัง แต่ไม่นานก็พังทรุดโทรม ก่อนจะมีกลุ่มนักศึกษามาช่วยกันเอาเศษไม้มาตีปะกบให้เป็นที่ซุกหัวนอนอยู่ในทุกวันนี้ แม้จะมีที่พักบังแดดฝน แต่ทุกคืนต้องสะดุ้งกับเสียงรถบรรทุกและรถซิ่งหลายๆคันที่วิ่งด้วยความเร็ว บางวันก็แทบจะไม่ได้นอนยิ่งในวันฝนตกถ้าฝนสาดเข้ามาก็ต้องหาเศษผ้ามาคลุมตัวเพื่อบังละอองฝนและกันยุง ส่วนตอนกลางวันถ้าแดดจนแสบตาก็ใช้วิธีคว้าจานข้าวขึ้นมาบังหน้าไม่ให้โดนแสงสว่างที่สะท้อนจากพื้นถนน
จากข้อมูลทั้งหมด พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือ หลวงพี่น้ำฝน จึงได้ตัดสินใจที่จะเข้ามาดูแลคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของยายพูล อย่างเร่งด่วนเพราะถือว่าเป็นความอนาถาที่มีความลำบากที่ยายพูลกำลังประสบอย่างน่ารันทดใจ จึงได้นิมนต์รวมพลังคณะสงฆ์วัดไผ่ล้อม ให้การช่วยเหลือเบื้องต้นด้วยการจัดปรับสถานที่ใหม่ จัดการนำขยะที่อยู่ทั้งในและนอกเพลิงพักของยายพูลที่เน่าเหม็นไปทิ้งและทำความสะอาดพื้นที่ทั้งหมดจัดหาเสื้อผ้าและเครื่องใช้ให้ใหม่ เพื่อให้ยายพูลได้ปรับสภาพจากคนที่นอนอยู่ในกองขยะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ซึ่งการเริ่มต้นในการปรับเปลี่ยนชีวิตของยายพูลนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากความที่เป็นหญิงชราเคยชินกับชีวิตแบบเดิม ๆ ที่เคยชินมานานหลายสิบปี การเสนอให้นายพูล ได้ย้ายไปบ้านพักคนชรา คือสิ่งที่ยายพูลปฏิเสธเป็นสิ่งแรก หลวงพี่น้ำฝน จึงได้ปรึกษากับคณะสงฆ์และคณะศิษยานุศิษย์ เพื่อหาทางช่วยเหลือในระยะยาว ผลสรุปคือการสร้างบ้านพักให้ใหม่ โดยหลวงพี่น้ำฝน ได้เสนอเป็นผู้ช่วยเหลือทั้งหมดไม่มีการเปิดขอรับบริจาคหรือเรี่ยรายจากใคร การก่อสร้างบ้านหลังใหม่จึงเริ่มต้นขึ้นอย่างรวดเร็ว และเป็นการใช้กำลังคนเป็นเจ้าหน้าที่และคณะสงฆ์ของวัดไผ่ล้อมทั้งหมด โดยมีศิษยานุศิษย์ได้เข้ามาชุบชีวิตของยายพูล หญิงชราวัย 90 ปี ให้เกิดใหม่อีกครั้งในบั้นปลายที่คิดว่าจะความหวังในการลืมตาอ้าปากบนโลกใบนี้อีกแล้ว
ระยะเวลา 14 วัน จากชีวิตยายพูล ที่สิ้นหวังหมดพลังใจ และนั่งมองรถที่ผ่านไปมาสลับกับเสียงบ่นมาเป็นระยะกับความท้อแท้ กลับกลายเป็นชีวิตใหม่ที่เริ่มขึ้นใหม่อีกครั้ง การมีบ้านใหม่พร้อมด้วยการดูแลชีวิตด้วยการส่งเจ้าหน้าที่มาช่วยให้ข้าวปลาอาหาร รวมถึงปัดกวาดสถานที่ รวมถึงการขึ้นทะเบียนเลขที่บ้าน การนำไฟฟ้าและน้ำปะปามามาติดตั้ง โดยให้ใช้ฟรีตลอดชีวิต พร้อมกล้องวงจรปิดเพื่อป้องกันความปลอดภัยและดูแลสุขภาพตลอด 24 ชั่วโมง และภายในบ้านมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน โดยมีห้องน้ำในตัว มีพัดลม ไว้คลายร้อน มีแสงไฟไว้ส่องสว่าง การยกระดับคุณภาพชีวิตให้ใหม่ ทั้งการตรวจสุขภาพ การนำไปทำบัตรประจำตัวประชาชนที่สูญหาย เพื่อขอรับเบี้ยคนชราและเบี้ยยังชีพคนพิการ เป็นการพลิกชีวิตครั้งสำคัญของยายพูล เหมือนเป็นการเกิดใหม่ทั้งที่ยังมีลมหายใน ในวัยย่างเข้าสู่ปีที่ 90
พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ กล่าวว่า นับตั้งแต่การทราบเรื่องของยายพูล อาตมาได้เข้ามาดูข้อมูลเพื่อตรวจสอบว่าเป็นจริงตามที่ลูกศิษย์มาแจ้งไว้หรือไม่ วันแรกก็พบว่า ยายพูลนั่งเหม่อลอยอยู่ในเพิงพักคนเดียว สภาพก็อย่างที่เห็น ซึ่งอาตมาเห็นแล้วสะท้อนใจเพราะเพิ่งเสียโยมมารดาไปไม่นาน สงสารคนชราวัยนี้ที่ต้องมานอนทุกข์ทรมานคนเดียวแบบนี้ ไม่คิดว่ากลางเมืองนครปฐม จะหลงเหลือคนชราที่ถูกทิ้งไว้กลางเมืองที่มีความเจริญแบบนี้ ซึ่งอาตมาตั้งใจจะช่วยให้ยายพูลมีกำลังใจให้ได้เพราะบ่นท้อใจ จนไม่ได้สนใจกับความสกปรกของที่พักหรือแม้แต่เรือนกายถ้าปล่อยไว้ ก็มีแต่จะรอวันเจ็บป่วยแล้วตายไปเงียบๆ โดยลำพัง
"เรื่องของยายพูล ที่ใช้ชีวิตโดยไม่มีน้ำ ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีคนมาดูแลได้อย่างไรหลายปี ซึ่งมีความยากลำบากต้องทุกข์ทรมานมานานมาก วันนี้อาตมาบอกแล้วว่าจะขอรับดูแลยายพูลไปตลอดชีวิต และชีวิตที่เหลือก็พร้อมทำประโยชน์เพื่อสังคม ตรงนี้คืองานของพระสงฆ์ ซึ่งภารกิจหนึ่งคือด้านสาธารณสงเคราะห์ พระสงฆ์มีหน้าที่ต้องช่วยเหลือกันญาติโยมที่ประสบปัญหาชีวิต ซึ่งกรณีของยายพูลนอกเหนือจากบ้านใหม่ที่ได้สร้างขึ้นให้แล้ว วัดไผ่ล้อมก็มีโรงเรียนผู้สูงอายุสุขภาพดี ซึ่งมีทีมแพทย์พยาบาล ที่จะตระเวนออกดูแลผู้ป่วยติดเตียงอยู่แล้ว โดยจะเข้ามาดูยายพูลให้ได้รับการพัฒนาคุณภาพชีวิตในวัยใกล้ฝั่งมีการให้กำลังใจและดูแลสุขภาพกายไปตลอด ซึ่งวัดไผ่ล้อมก็ได้ปลูกฝังการมีจิตสาธารณกุศล ให้กับคณะสงฆ์รวมถึงเจ้าหน้าที่ในวัดไผ่ล้อม ซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมไทยเป็นสังคมที่โอบอ้อมอารีต่อกัน แม้สิ่งนี้จะเริ่มลดน้อยถอยลงแต่วัดไผ่ล้อมก็พร้อมจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะนำสิ่งนี้มาประดับในใจของคนไทยอีกครั้งด้วย"
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี