เป็นอีกเรื่องที่เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางกับกรณี “การขึ้นทะเบียนสัตว์เลี้ยงโดยเริ่มจากสุนัขและแมว” โดยเฉพาะประเด็น “เก็บค่าธรรมเนียมสูงสุด 450 บาท” ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า “เก็บไปทำอะไร?”, “เก็บแพงไปไหม?”จนท้ายที่สุดก็เป็นอีกครั้งที่รัฐบาลต้องยอมถอยเพื่อลดแรงเสียดทาน ถึงขั้นที่ กฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ต้องออกมาขอโทษที่ทำให้ประชาชนตื่นตระหนก
“ผมกราบขอโทษไว้ ณ โอกาสนี้ เพราะอาจจะเร็วไปไม่ได้ชี้แจงประชาชน ในฐานะกระทรวงเกษตรฯเป็นเจ้าของร่าง โดยหลักการของกฎหมายนี้ต้องการจัดระเบียบดูแลสวัสดิภาพสัตว์ ซึ่งปัจจุบันมีการเลี้ยงกันมาก แต่พอหมาแมวไม่น่ารัก ก็ปล่อยปละละเลยไม่เลี้ยงนำไปปล่อยวัด หรือที่สาธารณะ ซึ่งในร่างนี้การขึ้นทะเบียน ค่าปรับ ต่างๆ ยังไม่ชัดเจน
ผมได้อธิบายในการประชุม ครม. (คณะรัฐมนตรี) ซึ่งท่านนายกฯก็เห็นว่าหลักการในกฎหมายดี แต่ให้กระทรวงเกษตรฯนำกลับไปหารือกับคณะกรรมการกฤษฎีกา นำไปปรับแก้ไข เรื่องขึ้นทะเบียนไม่เป็นภาระประชาชน” (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวกับสื่อมวลชนเมื่อ 12 ต.ค. 2561)
อย่างไรก็ตาม รมว.เกษตรฯ ยืนยันว่า “จากที่ดูการคัดค้าน พบว่าประชาชนเห็นด้วยในหลักการของกฎหมาย เพียงแต่ให้กำหนดรายละเอียดและลดค่าธรรมเนียมรวมถึงค่าปรับที่ไม่เป็นภาระ” ซึ่งการเสนอกฎหมายนี้ ยืนยันจะเดินหน้าในแนวทางเป็นประโยชน์กับทุกภาคส่วน และมีความเหมาะสมการดูแลสวัสดิภาพสัตว์ จะไม่ปล่อยให้ล่าช้า พยายามให้ทันรัฐบาลนี้
แน่นอนหากมองในมุมภาครัฐก็ต้องยอมรับว่า “การขึ้นทะเบียนสัตว์เลี้ยงมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วน”ดังการเปิดเผยของ น.สพ.สมชวน รัตนมังคลานนท์ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ ในเวทีเสวนา “การขึ้นทะเบียนสุนัขและแมว..ควรรอไว้หรือไปต่อ” ที่คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยอ้างอิงผลการศึกษาของ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหาการทอดทิ้งสัตว์ในที่สาธารณะ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พบว่า ในรอบ 10 ปี ปริมาณสุนัขและแมวจรจัดเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว
กล่าวคือ จากปี 2550 มีการสำรวจพบสุนัขและแมวจรจัดราว 3.5 แสนตัว ต่อมาในปี 2560 พบเพิ่มจำนวนเป็น 8.2 แสนตัว จึงมีการคำนวณต่อไปว่า หากไม่มีการควบคุมหรือจัดระเบียบในเรื่องนี้ คาดว่า ในปี 2570 จะมีสุนัขและแมวจรจัดอยู่ที่ราว 1.9-2 ล้านตัว และในปี 2580 จะเพิ่มไปอีกโดยมีจำนวนสูงถึง 5 ล้านตัว ซึ่งการปล่อยให้เป็นแบบนี้จะเกิดปัญหาต่อสังคมมากขึ้นหลายประการ
“ท่านจะเห็นข่าวเด็กถูกสุนัขรุมกัด คนเลี้ยงแล้วปล่อยหลุดออกมากัด หรือบางข่าวบอกจะเดินเข้าซอยไม่ได้เลยหมาประจำซอยคุม หมาครองซอยไปเลยเดินเข้าไปไม่ได้หมาเป็นหมู่จะเข้ามารุม สิ่งเหล่านี้มันไม่ใช่ปัญหาของสัตว์อย่างเดียวแต่เป็นปัญหาสังคมที่คนจะอยู่ร่วมกับสัตว์ การอยู่ร่วมกันก็คงต้องจัดสรรพื้นที่หรือดูแลพวกเขาให้อยู่บนเมตตาธรรม อยู่ด้วยกันไปด้วยกันได้ในสังคม
นอกจากนี้หากปล่อยให้มีการปล่อยสัตว์ในที่สาธารณะมากๆ จะไม่มีความปลอดภัยต่อชีวิตของประชาชน มีปัญหาสุขอนามัย สุนัขอาจไปฉี่ไปอึ ทำให้เกิดโรคระบาด โรคพยาธิอะไรต่างๆ ที่แพร่ออกมา หรือโรคระบาดสัตว์สู่คนที่เห็นชัดเจนคือโรคพิษสุนัขบ้า แล้วพอปล่อยออกมา สุนัขเหล่านี้ก็จะถูกคนที่ไม่ชอบลงโทษเขา เช่น ไปไล่ทุบตีไล่ฆ่าเขา ก็เป็นการทำให้เกิดการทารุณกรรมสัตว์ที่ถูกปล่อยออกมาในที่สาธารณะด้วย เราก็ไม่อยากเห็นภาพอย่างนั้น”รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ ยกตัวอย่าง
ประการต่อมา “การเก็บเงินค่าขึ้นทะเบียน” ซึ่งเป็นประเด็นที่ภาครัฐถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เรื่องนี้ น.สพ.สมชวน ชี้แจงว่า ในร่างกฎหมายเขียนไว้ “ในการขึ้นทะเบียนและการทำเครื่องหมายประจำตัวสัตว์ ราชการส่วนท้องถิ่นจะเรียกเก็บเงินจากเจ้าของสัตว์ด้วยก็ได้ แต่ต้องไม่เกินอัตราที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด” ความหมายคือ “จะเรียกเก็บหรือไม่เรียกเก็บก็ได้” ดังนั้นต้องหาแนวทางที่เหมาะสม เช่น“ถ้าตัวไหนทำหมันแล้วก็ไม่ต้องเก็บ” โดยขณะนี้กรมปศุสัตว์อยู่ระหว่างหารือกับกฤษฎีกา พร้อมกับรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน
อนึ่ง ยังมีข้อกังวลกรณีลักษณะการเลี้ยงสุนัข-แมวที่อาจเป็นอัตลักษณ์เฉพาะของสังคมไทย คือบรรดา “ผู้สูงวัยใจเมตตา” ที่หลายคนแม้จะมีฐานะไม่ดีนัก และมีบางคนถึงขั้นอยู่บ้านหรือแม้แต่เพิงพักเก่าๆ แต่พอเห็นสุนัขหรือแมวจรจัดก็อดสงสารไม่ได้ พยายามหาอาหารและน้ำมาให้เป็นประจำจนสุนัขหรือแมวเหล่านั้นกลายสภาพเป็น “กึ่งจรจัด” มีที่อยู่ประจำบริเวณใกล้กับจุดที่มีผู้ให้อาหารแต่ไม่ได้อยู่ในรั้วรอบขอบชิด สามารถไปไหนมาไหนตามที่สาธารณะว่าจะได้รับผลกระทบจากการขึ้นทะเบียนสัตว์เลี้ยงหรือไม่
น.สพ.สมชวน ระบุว่า “ประชาชนกลุ่มนี้แม้ไม่มีศักยภาพมากนักแต่มีจิตใจรักสัตว์ ดังนั้นขอให้มาขึ้นทะเบียนเป็นสถานสงเคราะห์สัตว์ตาม พ.ร.บ.ป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ. 2557 แล้วจะมีเจ้าหน้าที่ไปดูแลให้” เช่น ทำหมัน ฉีดวัคซีน รวมถึงให้คำแนะนำด้านการเลี้ยงที่เหมาะสม ซึ่งกลุ่มนี้เป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีความสำคัญและภาครัฐต้องการเข้าไปดูแลอยู่แล้ว ทั้งนี้ปัจจุบันกรมปศุสัตว์มีแอพพลิเคชั่น “DLD 4.0”สำหรับรับเรื่องร้องทุกข์ เสนอข้อคิดเห็น และแจ้งเบาะแสการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายที่ทางกรมรับผิดชอบอยู่
รวมถึงบรรดา “ผู้เพาะเลี้ยง” ก็ต้องถูกควบคุมด้วยเช่นกัน น.สพ.สมชวน กล่าวว่า ผู้เพาะเลี้ยงก็เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาสุนัขและแมวจรจัด เพราะเมื่อเพาะพันธุ์ออกมาแล้วขายไม่ได้ก็แอบมีการนำไปปล่อย ดังนั้นทางกรมปศุสัตว์ได้เสนอให้ทำ “มาตรฐานฟาร์มเพาะเลี้ยงสุนัขและแมว” ซึ่งแม้จะเป็นมาตรฐานภาคสมัครใจไม่บังคับ แต่หากไม่ทำตามมาตรฐานก็อาจไปเข้าข่ายองค์ประกอบของกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้
แม้ปัญหาสุนัขและแมวจรจัดเป็นวาระเร่งด่วนจนต้องรีบขึ้นทะเบียนไม่ปล่อยให้บานปลายไปกว่านี้..แต่ภายใต้บริบท “สังคมใจบุญ” แบบไทยๆ ที่ห้ามนำสัตว์จรจัดไปกำจัดอย่างในต่างประเทศ ท้ายที่สุดเรื่องนี้จะมีทางออกอย่างไรที่ทั้งมีประสิทธิภาพและสังคมส่วนใหญ่รับได้..คงต้องรอติดตามกันในวันที่กฎหมายออกมา!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี