ถึงวันนี้ก็ต้องบอกว่าคึกคักขึ้นเรื่อยๆ กับ “ความเคลื่อนไหวทางการเมือง” ของแต่ละพรรคแต่ละกลุ่มขั้ว หลังรัฐบาลโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ประกาศ “คลายล็อก” ให้ทำกิจกรรมทางการเมืองได้บางส่วนตั้งแต่เมื่อเดือนก.ย. 2561 ที่ผ่านมา จะเห็นว่ามีทั้งพรรคที่ประกาศเลือกตั้งหัวหน้าพรรคเป็นตัวแทนนำทัพสู้ศึกการเลือกตั้งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นภายในเดือนก.พ. 2562ขณะเดียวกันก็มีการประกาศจุดยืน “หนุน-ต้าน คสช. หลังเลือกตั้ง” จากพรรคการเมืองต่างๆ ทั้งเก่าและใหม่ที่ “แบ่งข้าง” อย่างชัดเจน
เมื่อเร็วๆ นี้ มีการจัดเสวนา “การเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรมกับอนาคตสังคมและการเมืองไทย : มุมมองจากภาคประชาชน” ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) ซึ่ง บุญยืน สุขใหม่ ตัวแทนเครือข่ายสมัชชาคนจน กล่าวว่า การเลือกตั้งในเดือน ก.พ. 2562 หากเกิดขึ้นจริงอย่างน้อยที่สุดบรรดา “คนเล็กคนน้อยในสังคม” จะได้มีช่องทางเรียกร้องขอแก้ไขปัญหาของตนมากขึ้น
“ที่ผ่านมาปัญหาของแรงงานก็ดีในการที่จะออกมาขับเคลื่อนหรือเคลื่อนไหวในประเด็นความเดือดร้อนของชาวบ้านที่เป็นผู้ใช้แรงงาน ก็เป็นปัญหาอุปสรรคไปหมดในการออกมาชุมนุมเรียกร้องซึ่งเป็นสิทธิตามกฎหมายที่สามารถดำเนินได้ หรือแม้กระบวนการภาคประชาชนในส่วนของสมัชชาคนจนเอง ก็เป็นปัญหาที่ไม่สามารถออกมาเรียกร้องสิทธิของตัวเอง ไม่สามารถออกมายืนบนท้องถนนได้เวลาตัวเองได้รับผลกระทบต่างๆ
ฉะนั้นการเลือกตั้งที่จะถึงนี้อย่างน้อยมันก็เป็นหมุดหมายสำคัญ เป็นนิมิตที่ดีว่าเขาจะมีตัวแทนของเขาเข้ามานั่งอยู่ในรัฐสภามาแก้ไขปัญหาของเขาที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาราคาสินค้าเกษตร ปัญหาของแรงงาน ปัญหาของชาวประมง ปัญหาของชาวบ้านหลายๆ กรณีที่เกิดขึ้น สิ่งที่หลายคนคาดหวังว่าเมื่อมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น เขาก็จะได้มีตัวแทนของเขามาอยู่ในรัฐสภา”บุญยืน กล่าว
อย่างไรก็ตาม ตัวแทนเครือข่ายสมัชชาคนจน แสดงความกังวลว่า “ในการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคการเมืองจะสามารถคิดและใช้นโยบายของตนได้อย่างเต็มที่ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนได้จริงหรือ?” ในเมื่อพบว่า “รัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้งจะถูกตีกรอบให้ต้องเดินบนเส้นทางเดียวเท่านั้น” อาทิ บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 และโดยเฉพาะ “แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี” ยังไม่นับการเลือกตั้งครั้งนี้จะรูปแบบรัฐบาลคงเป็น “รัฐบาลผสม” หลายพรรค สมาชิกสภาที่มาจากการเลือกตั้งประชาชนจะอ่อนแอจนเป็นอุปสรรคในการทำงานหรือไม่?
ไม่เฉพาะคนจนเท่านั้น “คนทำธุรกิจ” ก็จับตาการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นนี้เช่นกันขุนกลาง ขุขันธิน ตัวแทนเครือข่ายธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ธุรกิจเองแบ่งได้เป็นขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก แต่ที่สำคัญ “การทำธุรกิจให้มีธรรมาภิบาลในประเทศที่รัฐไม่มีธรรมาภิบาลเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก” และเช่นเดียวกัน “คนทำธุรกิจประเภทชอบผูกขาด มักนิยมไปลงทุนในประเทศที่เป็นเผด็จการที่ไม่มีการตรวจสอบในประเทศเหล่านั้นทุนก็จะเข้าไปทำสัมปทานผูกขาดต่างๆ ได้ง่าย” นั่นหมายถึงประเทศจะเสียผลประโยชน์ที่ควรได้รับไปด้วย
ขุนกลาง ตั้งข้อสังเกตถึง “การเมืองหลังการเลือกตั้งจะเป็นธรรมจริงหรือ?” เพราะมีทั้งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) 250 ที่มาจากไหนก็ไม่รู้แต่สามารถออกเสียงเลือกนายกรัฐมนตรีได้ การเปิดช่องให้ได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีคนนอก รวมถึงเลือกตั้งแล้วพรรคที่มาจากเสียงของประชาชนจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้หรือไม่ ทั้งหมดนี้ต้องบอกว่า“ยังต้องสู้กันอีกยาว” เพื่อให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
“เรื่องยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี จริงๆ แล้วการมียุทธศาสตร์ชาติโดยหลักการเป็นสิ่งที่ดี แต่ยุทธศาสตร์ที่กลายเป็นการผูกขาดและการสืบทอดอำนาจ แล้วเป็นการร่างภายใต้รัฐบาลที่เป็นเผด็จการทหารเป็นเรื่องไม่ดีแน่นอน ผมได้ศึกษารายละเอียดมาพอประมาณ ยุทธศาสตร์ชาติเป็นการผูกขาดอำนาจและเอื้อให้อำนาจไม่กี่กลุ่มแล้วก็กลุ่มทุนใหญ่ทั้งหลาย เรื่องของการทำลายสิ่งแวดล้อมก็เป็นเรื่องที่ผมกังวลมาก ไหนจะเรื่องสัมปทาน 99 ปี เรื่องอีอีซี (EEC- โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก)
ถามว่าทำอย่างไร? งานนี้งานยาว อย่าเพิ่งสิ้นหวัง เรื่องนี้มีผลกับคนทุกคน มันไม่ใช่เรื่องของสีเสื้อทางการเมือง วันนี้เรากำลังคุยกันเรื่องกติกาที่มาที่มันไม่เป็นธรรม ถ้าเราใช้ตรรกศาสตร์เสียหน่อยในการคิดว่ากติกาใดก็ตามที่มันตั้งขึ้นโดยไม่มีที่มาที่ไปที่เป็นธรรมแล้วมันอยู่ในกลุ่มคนไม่กี่คน กติกาแบบนี้สมมุติต่อให้คนที่คุมอำนาจอยู่ดีเด่นสมบูรณ์แบบอย่างไรก็ตาม วันหนึ่งถ้าคนนั้นเปลี่ยนไปหรือเปลี่ยนจากคนคนนั้นไปเป็นอะไรก็ตาม แล้วกติกานี้ไม่สามารถตรวจสอบถ่วงดุลได้ มันก็จะเป็นกติกาที่นำความเสียหายมาแน่นอน” ขุนกลาง กล่าว
นอกจากประชาชนทั่วไปและภาคธุรกิจแล้ว “สื่อมวลชน” ก็เป็นอีกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบในการทำงาน มีข้อจำกัดในการนำเสนอข่าวที่อาจไปกระทบกับผู้มีอำนาจด้วยกฎระเบียบที่รัฐบาลทหารวางไว้ ปรเมศวร์เหล็กเพชร นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า วันนี้มีสิ่งที่ต้องขอความร่วมมือจากภาคการเมืองคือ “เมื่อพรรคการเมืองเข้าไปมีอำนาจแล้ว อย่าลืมยกเลิกประกาศและคำสั่ง คสช. ที่จำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการนำเสนอข่าวด้วย” การยกเลิกประกาศและคำสั่งดังกล่าวจะนำไปสู่การปฏิรูปได้
“ที่พูดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าสื่อจะเสนออะไรก็ได้ ตอนนี้สื่อเสนออะไรสังคมก็ตรวจสอบอยู่แล้ว ผมแสดงความคิดเห็นไม่ดีผมก็โดนด่าได้ อันนี้คือการกดดันจากภาคสังคม ฉะนั้นสื่อโดนหนักอยู่แล้ว ดังนั้นเงื่อนไขประกาศหรือคำสั่ง คสช. ก็จะต้องแตะมือกับพรรคการเมืองว่าเวลาพรรคการเมืองเข้าไปมีอำนาจแล้วควรที่จะแก้ไขให้คำสั่งนี้มันไม่มีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย” ปรเมศวร์ ระบุ
นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ยังกล่าวอีกว่า การเลือกตั้งจะเสรีและเป็นธรรมได้หรือไม่นั้น “ผู้คนต้องออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งให้มากที่สุด ถ้า 99-100เปอร์เซ็นต์ได้ยิ่งดี” ซึ่งปัจจุบันการเลือกตั้งสามารถทำได้หลายช่องทาง เช่น เลือกตั้งล่วงหน้า เลือกตั้งนอกเขต เพราะการเลือกตั้งที่มีจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์น้อย กลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ก็อาจเข้าแทรกแซงได้ แต่หากมีผู้มาใช้สิทธิ์มากๆ ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลก็ต้องเดินตามเสียงเรียกร้องของประชาชน
เช่นเดียวกับ ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ผู้จัดการโครงการอินเตอร์เนตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์ - iLaw) ที่ชี้ว่า นอกจาก คสช. จะออกกฎจำกัดสิทธิการเคลื่อนไหวทางการเมือง เช่น “ประกาศ คสช. ฉบับที่ 57/2557 เรื่อง ให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญบางฉบับมีผลบังคับใช้ต่อไป(ข้อ 2)” ซึ่งกำหนดห้ามพรรคการเมืองต่างๆ ทำกิจกรรมทางการเมือง กระทั่งต่อมาแม้จะมีการคลายล็อกบางส่วนในเดือนก.ย. 2561 แต่ก็ยังไม่เต็มที่
รวมถึง “คำสั่ง คสช. ที่ 3/2558 เรื่อง การรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของชาติ (ข้อ 12)” ที่ห้ามชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน “หากไม่ยกเลิกจะกระทบช่วงหาเสียงหรือไม่?” แล้ว สิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้คือ “วันนี้ คสช. เป็นทั้งผู้เขียนกติกา ผู้บังคับใช้กติกา และผู้เล่นในกติกา” ไล่ตั้งแต่ 1.ผู้เขียนกติกา ตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2560 ผ่านคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ที่มีปัญหาหลายอย่าง อาทิ สว. เลือกนายกฯ ได้, การเปิดช่องนายกฯ คนนอก และการนับคะแนนที่อาจทำให้พรรคการเมืองที่ได้คะแนนจากประชาชนมากที่สุดไม่ได้ที่นั่งในสภามากที่สุดก็ได้
2.ผู้บังคับใช้กติกา อาทิ ที่มาขององค์กรอิสระอย่าง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ขณะนี้มีอยู่ 5 คน ที่ผ่านการพิจารณาจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ขาดอีก2 คน อยู่ระหว่างกระบวนการสรรหาเนื่องจากรายชื่อเดิมถูกปัดตกไป หรือศาลรัฐธรรมนูญ ที่คณะตุลาการส่วนหนึ่งได้รับการต่ออายุให้อยู่ต่อจนถึงรัฐบาลถัดไป เหล่านี้ คสช. มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือแม้กระทั่งข้อกังวล “จะมีการเลือกตั้งในเดือน ก.พ. 2562 จริงๆ หรือ?” เพราะหากนับตามกรอบเวลาในรัฐธรรมนูญ 2560 ควรจะมีการเลือกตั้งตั้งแต่ปลายปี 2560 แต่ก็มีการหาทางเลื่อนมาเรื่อยๆ จนได้
และ 3.ผู้เล่นในกติกา ซึ่งชัดเจนมากแล้วกรณี “พรรคการเมืองจำนวนหนึ่งประกาศหนุน คสช. - หนุนนายกฯ คนนอก” ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันให้นายกฯ และหัวหน้า คสช. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาอีกครั้งหลังเลือกตั้ง หรืออาจจะเป็นตัวแทนของ พล.อ.ประยุทธ์ เข้ามาก็ได้ จึงขอสรุปว่า“นี่เป็นการเลือกตั้งของ คสช. โดย คสช. และเพื่อ คสช.” หากไม่มีการแก้ไขกฎกติกาต่างๆ ให้เป็นธรรมมากกว่านี้
“ถ้าการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคการเมืองหรือตัวแทนภาคประชาชนไม่ได้สนับสนุนแนวทางของ คสช. สามารถใช้ช่องทางการเลือกตั้งเข้าสู่อำนาจได้ แม้มันจะถือว่ายากจริงๆ แต่ผมก็ถือว่าจะเป็นการต่อสู้ที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่มากๆ ของประชาชนในประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยของไทย ซึ่งอาจจะยิ่งใหญ่กว่าเหตุการณ์ 14 ตุลา (2516) เมื่อ 45 ปีก่อนเสียด้วยซ้ำ” ผจก.ไอลอว์ ให้ความเห็น
อีกด้านหนึ่ง เอกพันธุ์ ปิณฑวณิช นักวิชาการสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล เรียกร้องไปยังพรรคการเมืองต่างๆ แสดงจุดยืนตั้งแต่ “ก่อนการเลือกตั้ง” อาทิ 1.ไม่ทุจริตการเลือกตั้ง 2.ไม่ใช้ทรัพยากรของรัฐเพื่อสร้างความได้เปรียบในการหาเสียง 3.ไม่หาเสียงด้วยวิธีการสร้างความเกลียดชัง 4.เคารพสิทธิในการหาเสียงของพรรคต่างๆ กับ “หลังการเลือกตั้ง” อาทิ 1.ไม่เอานายกฯ คนนอก 2.พรรคที่ได้คะแนนสูงสุดต้องได้สิทธิ์ก่อนในการจัดตั้งรัฐบาล 3.แสวงหาข้อเท็จจริงกรณีความขัดแย้งทางการเมือง และ 4.กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น
ทั้งหมดนี้อาจสรุปได้ว่า “การเลือกตั้งครั้งล่าสุดที่จะเกิดขึ้นมีความหมายอย่างยิ่งไม่ว่ากับกลุ่มใด” เพราะจะเป็นการ “ชี้ชะตาอนาคตประเทศไทย” ว่าจะเดินไปอย่างไร? จะเป็นประชาธิปไตยเต็มใบหรือไม่? รวมถึงแนวนโยบายการพัฒนาประเทศที่จะอิงตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี หรือจะมีความพยายามแก้ไขยกเลิกทั้งแผนยุทธศาสตร์ชาติรวมถึงรัฐธรรมนูญ 2560 อย่างที่บางพรรคการเมืองประกาศไว้ เพื่อเปิดช่องให้มีการสร้างทางเลือกใหม่ๆ พรรคต่างๆ สามารถทำนโยบายได้หลากหลาย
ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล..หรือก็คือพรรคการเมืองใดจะได้รับชัยชนะ!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี