เมื่อเร็วๆ นี้ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) จัดเสวนาเรื่อง “เล่นกีฬาปลอดภัย ห่างไกลการบาดเจ็บและเสียชีวิต ป้องกันได้อย่างไร” เชิญผู้แทนภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการแข่งขันกีฬานักวิทยาศาสตร์การกีฬา ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์การกีฬา (Sport Medicine) เข้าร่วม หลังปรากฏข่าวเกี่ยวกับผู้เสียชีวิตระหว่างการออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ร.อ.นพ.อัจฉริยะ แพงมา เลขาธิการ สพฉ. กล่าวว่า การบาดเจ็บและเสียชีวิตจากการเล่นกีฬา มาจากหลายสาเหตุหลายปัจจัย เช่น หักโหมเล่นกีฬามากเกินไป ขาดการตรวจสอบความพร้อมของร่างกายก่อนเล่น เช่น การวัดอัตราการเต้นของหัวใจ การวัดความดันโลหิต เรื่องนี้ ทำให้ สพฉ. เล็งเห็นถึงการเตรียมความพร้อม ป้องกันการเกิดเหตุ และตอบโต้เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
ประกอบกับสถานการณ์ในขณะนี้เห็นได้ชัดว่า การจัดระบบการแพทย์ฉุกเฉิน หรือการเตรียมความพร้อมของอุปกรณ์ช่วยชีวิตในสนามกีฬา หรือการจัดการแข่งขันกีฬา ยังไม่ถูกระบุให้เป็นสิ่งจำเป็น ดังนั้นจึงเห็นว่าต้องมีการจัดระบบที่ดี ที่สำคัญต้องสร้างความรู้ใหม่ รณรงค์ให้เห็นถึงความสำคัญในการป้องกันมากขึ้น โดยเฉพาะในปัจจุบัน มีการจัดการแข่งขันกีฬาอาชีพบ่อยครั้ง ซึ่งก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดเหตุเจ็บป่วยฉุกเฉินมากขึ้น
ดังนั้น การดูแลตนเองให้มีความพร้อมก่อนออกกำลังกาย การจัดเตรียมบุคลากรทางการแพทย์ แพทย์ภาคสนาม ให้พร้อม จึงเป็นเรื่องจำเป็น โดย สพฉ. ได้เร่งพัฒนาหลักสูตรทั้งระดับเบื้องต้น ขั้นสูง และเรื่องการแพทย์ฉุกเฉินในกีฬาแต่ละประเภทให้มีความเหมาะสม พร้อมเน้นย้ำการเตรียมความพร้อม เครื่อง AED เพราะจะเพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้ผู้ป่วยได้มากขึ้น
ด้าน น.อ.(พิเศษ) นพ.ไพศาล จันทรพิทักษ์ ประธานฝ่ายแพทย์สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ระบุว่า เรื่องการแพทย์ฉุกเฉินกับการกีฬาควรผลักดันให้กลายเป็นวาระแห่งชาติ เนื่องจากในรัฐธรรมนูญ ก็ระบุไว้ชัดเจนว่าให้รัฐสนับสนุนให้คนเล่นกีฬา โดยสามารถนำแผน Football Model มาประยุกต์ใช้กับกีฬาประเภทอื่นๆ ได้ ซึ่งหลักๆ คือการป้องกันการบาดเจ็บ และการเสียชีวิตจากปัญหาเรื่องหัวใจ เพราะที่ผ่านมาจะเห็นนักฟุตบอลเสียชีวิตอยู่เรื่อยๆ
นอกจากนี้ควรสร้างความรู้เกี่ยวกับเรื่องวิทยาศาสตร์ทางแพทย์ เช่น การเคลื่อนไหวของร่างกาย สอนเรื่องการป้องกันการบาดเจ็บ การรักษาการบาดเจ็บ จะทำอย่างไรจึงจะกลับไปเล่น กีฬาได้เหมือนเดิมได้เร็วที่สุด และที่สำคัญคือควรตรวจร่างกายนักกีฬาก่อนทำการแข่งขัน ส่วนกรณีเมื่อมีเหตุฉุกเฉินก็ต้องมีมาตรการที่พร้อมจะรับมือ เช่น เข้าไปสนามแข่งทันที ไม่ต้องขอกรรมการ การจอดรถต้องไม่กีดขวางรถฉุกเฉิน และทีมต้องพร้อมเสมอ
ขณะที่ นพ.ชนินทร์ ล่ำซำ คณบดีวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวเช่นกันว่า ที่วิทยาลัยฯ เคยมีประสบการณ์จัดกิจกรรมวิ่งมาแล้ว 4 ครั้ง ซึ่งทุกครั้งจะมีทีมแพทย์ดูแลทุกคนที่วิ่งตลอดเส้นทาง และคนวิ่งจะต้องอยู่ในสายตาของผู้จัดทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นซอกหลืบตรงไหน จะต้องมองเห็นผู้วิ่งทุกคน และเครื่อง AED ต้องไปถึงภายใน 4 นาที หากเกิดเหตุฉุกเฉิน โดยที่มหาวิทยาลัย จะมีเครื่องติดตั้งอยู่ที่คณะวิทยาศาสตร์ฯมีนักศึกษาขี่จักรยานเข้าไปนำอุปกรณ์ และช่วยเหลือได้ง่าย
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งสำคัญที่จะป้องกันเหตุฉุกเฉิน คือนักกีฬาควรดูแลตัวเองก่อน เช่น ต้องรู้ว่าตัวเองมีโรคประจำตัว หรือไม่ ต้องรู้จักขีดจำกัดและความพร้อมของตนเอง ทำร่างกายให้เหมาะสมกับประเภทของกีฬา แต่งกายให้เหมาะสมกับการเล่นกีฬา ส่วนผู้จัดงานเองการต้องมีความพร้อม เตรียมทีมแพทย์ไว้ให้พร้อม จัดให้ได้มาตรฐาน เช่น การจัดงานวิ่งต้องมีน้ำเตรียมไว้เพียงพอ เพราะนักกีฬาวิ่งจะเสียเหงื่อมาก
นายวิษณุ ไล่ชะพิษ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนากีฬาเป็นเลิศ กกท. กล่าวเสริมว่า การจัดการ แข่งขันกีฬา ผู้จัดต้องเตรียมการเรื่องการดูแลกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน ซึ่ง กกท. จะเน้นการเตรียมการของผู้จัดกีฬาเป็นพิเศษ เช่น การจัดกีฬาเยาวชนจะจัดในช่วงเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นหน้าร้อน ดังนั้นต้องปรับเวลาให้พร้อมในการแข่งขัน หรือการวิ่งปัจจุบันประเทศไทยมีการจัดวิ่งปีละ 600-700 ครั้ง เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบาย Sport Tourism ซึ่งก็ต้องเตรียมดูแลเรื่องการบาดเจ็บที่ฉุกเฉินด้วย โดยเราจะต้องคำนึงอยู่เสมอว่า ทำอย่างไรจะได้รับความปลอดภัยในการเล่นกีฬาให้มากที่สุด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี