“โอท็อป (OTOP) นวัติวิถี” หมายถึงการสร้างชุมชนแห่งการท่องเที่ยว ให้เกิดกระแสการท่องเที่ยวในชุมชน โดยเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของชุมชนให้สามารถยกระดับสู่การจำหน่าย สามารถดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาในชุมชน โดยหลักการสำคัญของการพัฒนาในด้านนี้มี 4 ประการได้แก่ 1.การนำเสนอเสน่ห์ชุมชน 2.ค้นหาอัตลักษณ์ชุมชน 3.ค้นหาภูมิปัญญาท้องถิ่น และ 4.ผสมผสานให้เกิดคุณค่า เป็นการสร้างมูลค่าเชิงเศรษฐกิจให้กับชุมชนอีกทางหนึ่ง
“อำเภอตาลสุม จังหวัดอุบลราชธานี” อยู่ห่างจากตัวเมืองอุบลราชธานีไปทางทิศตะวันออกประมาณ 34 กิโลเมตร เป็นพื้นที่ที่มีต้นตาลจำนวนมากอยู่ริมฝั่งแม่น้ำมูล จึงเรียกบริเวณนี้ว่า “ตาลชุม” ต่อมาเพี้ยนเป็น “ตาลสุม” มีคำขวัญประจำอำเภอว่า “ผ้าห่มงาม ข้าวหลามรสดี มากมีลูกตาล หวานมันฝักบัว” โดยมีชุมชนเป้าหมายในโครงการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี “เส้นทางธรรมนำวิถีพอเพียง” 4 ชุมชนประกอบด้วย บ้านห่องแดง, บ้านสำโรงใหญ่,บ้านคำหว้า และบ้านนามน
“บ้านห่องแดง” ตั้งอยู่ที่ ต.นาคาย อ.ตาลสุม เป็นชุมชนที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ด้วยต้นตาล ซึ่งให้ลูกตาลรสชาติดีตลอดทั้งปีจนกลายเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของชุมชน นอกจากภาพทุ่งนาเขียวขจีที่รายล้อมด้วยต้นตาลแล้ว ล่าสุด “ทุ่งนาบัวบ้านห่องแดง” ก็กลายเป็นจุดเช็คอินแห่งใหม่ที่ดึงดูดผู้คนมาเที่ยวชมอย่างไม่ขาดสาย เป็นโอกาสให้ผลิตภัณฑ์ OTOP บ้านห่องแดง ได้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปจากดอกบัว ได้แก่ น้ำนมเม็ดบัว โดนัทเม็ดบัว ลูกประคำเม็ดบัว ดอกบัวแห้ง และผลิตภัณฑ์อื่นๆ
ไพรวัลย์ คำจริง นักวิชาการชุมชนชำนาญการ สำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอตาลสุมเล่าว่า เริ่มแรกที่ทำโครงการชุมชนโอท็อปนวัตวิถี โดยให้ชาวบ้านประชุมหารือกันจนได้ความชัดเจนในเรื่องอัตลักษณ์ของชุมชนแล้วจึงเริ่มพัฒนาโดยการพัฒนาจะทำอยู่สองเรื่อง “หนึ่ง” เรื่องของสภาพแวดล้อมของหมู่บ้านเพื่อพัฒนาเป็นสถานที่ท่องเที่ยว กับ “สอง” คือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ดั้งเดิมของหมู่บ้านให้มีความหลากหลาย เพื่อสร้างรายได้เข้าสู่ชุมชน
จุดเด่นของบ้านห่องแดงคือ “ทุ่งนาบัว” ซึ่งทำมา 20-30 ปีแล้ว “แต่การทำโครงการก็ไม่ได้ราบรื่นตั้งแต่ก้าวแรก” โดยมีปัญหา 2 เรื่องคือ 1.ชุมชนมีขนาดเล็กมากเพียง 55 หลังคาเรือน ตื่นเช้ามาวิถีชีวิตของชาวบ้านคือการออกไปขายบัวทำให้ประชากรก็ลดลงไปแล้วครึ่งหนึ่ง ก็ต้องขอความร่วมมือจากทุกคนว่าก่อนจะขึ้นรถไปขายบัวตามต่างจังหวัด ก็ขอให้มาฟังอบรมกันก่อน
กับ 2.ในชุมชนมีผู้ชายน้อยกว่าผู้หญิง เหตุเพราะผู้ชายจะออกไปทำงาน การมีส่วนร่วมในการพัฒนาจะไม่ครอบคลุมร้อยเปอร์เซ็นต์ จะมีผู้ร่วมเพียง ร้อยละ 80 แนวทางแก้ไขคือให้ทุกครัวเรือนมีส่วนร่วมโดยการผลัดกันมา อย่างเช่นการพัฒนารั้ว คือการทำโครงสร้างพื้นฐานของสะพาน หรือการจัดเวรยามในการตรวจตราตอนเย็น เพราะตอนเย็นจะมีวัยรุ่นจากต่างพื้นที่เข้ามา ก็จะจัดเวรยามวันละ 2 คน หนึ่งทุ่มก็จะไม่ให้นั่งเป็นกลุ่ม ด้วยต้องการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับที่นี่โดยให้ชาวบ้านได้พัฒนาในบริบทของชุมชนตนเอง
“จากธรรมดาก็เริ่มตื่นตัวในการพัฒนา รักษาความสะอาดหน้าบ้านเป็นระเบียบเรียบร้อยกว่าเดิม การต้อนรับนักท่องเที่ยว 5 S ได้แก่ 1.Smile รอยยิ้มต้อนรับนักท่องเที่ยว 2.Story เรื่องราวที่น่าสนใจ การทำบัวเริ่มมาจากใคร มีเรื่องราว 3.Secret เคล็ดลับของที่นี่คือการทำผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย 4.Spirit คือต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วยใจโอบอ้อมอารีย์ และ 5.Surprise นักท่องเที่ยวจะตื่นเต้นกับการเข้ามาเยี่ยมเยือนหมู่บ้าน เพราะตรงนี้อยู่ในกลุ่มของเส้นทางธรรมนำวิถีพอเพียง ถ้ามาที่นี่จะมีธงทิวมาเลย จะซึมซับบรรยากาศวัฒนธรรมดั้งเดิม” ไพรวัลย์ กล่าว
พื้นที่ต่อมา “บ้านสำโรงใหญ่” ชุมชนที่มีชื่อเสียงด้านการอนุรักษ์งานพุทธศิลป์ด้วยฝีมือการวาดภาพพุทธประวัติที่มีสีสันสวยงาม โดยมีการจัดตั้ง “กลุ่มผลิตผ้าผะเหวด” หรือผ้าวาดภาพพระเวสสันดรชาดก ซึ่งถือเป็นงานหัตถกรรม OTOP ที่ขึ้นชื่อและได้รับการยอมรับทั้งในท้องถิ่นและในระดับจังหวัด สอดคล้องกับสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญทางจิตใจ นั่นคือ “หลวงพ่อพระเจ้าใหญ่ประทานพร วัดสำโรงใหญ่” ที่คนในชุมชนและนักท่องเที่ยวนิยมมากราบไหว้ขอพร
วีระ คงมาก ประธานกลุ่มการเขียนผ้าผะเหวด บ้านสำโรงใหญ่ เล่าว่า ประวัติการเขียนผ้าผะเหวดในชุมชนสำโรงตั้งแต่เมื่อราว50 ปีก่อน โดยมีผู้ริเริ่มคือ นายรัตน์ มุ่งสิน จากนั้นรุ่นต่อมาคือ “พ่อใหญ่มาด มุ่งสิน-นายเสถียร คงมาก” ไปศึกษาการวาดภาพผ้าผะเหวด แต่พ่อใหญ่มาดได้ล้มเลิกการเขียนภาพผะเหวดและไม่มีผู้สืบทอด คงเหลือแต่นายเสถียรที่สืบทอดการเขียนภาพผ้าผะเหวดเอาไว้ จนตกทอดมาถึงตนเองในปัจจุบัน
ปธ.กลุ่มการเขียนผ้าผะเหวด บ้านสำโรงใหญ่เล่าต่อไปว่า ในยุคแรกเริ่มการเขียนผ้าผะเหวดมีวัตถุประสงค์คือ ทำเพื่อจำหน่ายเป็นอาชีพเสริมเพื่อเพิ่มรายได้ในครัวเรือน แต่ในปัจจุบันสามารถทำเป็นอาชีพหลักได้โดยมีคนมาสั่งซื้อ หรือญาติพี่น้องที่อยู่ต่างถิ่นเป็นคนนำไปเผยแพร่ และประชาสัมพันธ์ของการเขียนภาพผะเหวด ที่เห็นชัดเจน คือ วัสดุ อุปกรณ์ เช่น สีที่ใช้ในอดีตใช้เป็นสีธรรมชาติ และสีฝุ่น แต่ในปัจจุบันใช้น้ำพลาสติก ส่วนผ้าในอดีตใช้ผ้าที่ทอเอง แต่ในปัจจุบันใช้ผ้าที่ผลิตจากโรงงาน ดังนั้นต้นทุนการผลิตจึงสูงขึ้นตามไปด้วย
“ครูภูมิปัญญาแต่ละคนมีวิธีการเรียนรู้และการถ่ายทอดความรู้ที่คล้ายกัน คือ ได้เรียนรู้จากพ่อแม่ จากการดูตัวอย่างแล้วทำตามประกอบกับจินตนาการของแต่ละคน จนเกิดความชำนาญโดยอาศัยแม่แบบในการทำโครงตัวละคร ส่วนรายละเอียดของหน้าตา เครื่องประดับและเสื้อผ้า ภาพวิวทิวทัศน์และองค์ประกอบอื่นๆ ผู้วาดต้องใช้ความสามารถเฉพาะของตัวเอง ซึ่งการเขียนภาพผ้าผะเหวดได้บรรจุในรายวิชาเรียนของโรงเรียนบ้านสำโรงใต้ เพื่อให้นักเรียนสืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นการเขียนผ้าผะเหวดอีกด้วย” วีระ ระบุ
นอกจากนี้ยังมี “บ้านคำหว้า” ต.คำหว้า อ.ตาลสุม เป็นอีกหนึ่งชุมชนที่โดดเด่นด้านการดำเนินชีวิตตามวิถีพอเพียง ทรัพยากรทางธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ถูกนำมาแปรรูปเป็นของกินของใช้ในชีวิตประจำวัน ขณะเดียวกันก็กลายเป็นสินค้า OTOP หลากหลายประเภทที่สร้างรายได้ให้ชุมชนอย่างน่าพอใจ ไม่ว่าจะเป็น ไม้กวาดทางมะพร้าว กระเป๋าผ้าฝ้าย ผ้ารองแก้ว พรมเช็ดเท้าเสื่อทอ เปล
และ “บ้านนามน” ต.ตาลสุม อ.ตาลสุม เป็นชุมชนที่อยู่ติดกับแม่น้ำมูล คนในชุมชนส่วนใหญ่จึงออกหาปลาเป็นอาชีพหลัก และสืบสานภูมิปัญญาทางหัตถกรรมจากรุ่นสู่รุ่น พัฒนาต่อๆ กันมาจนกลายเป็นผลิตภัณฑ์ OTOP ที่น่าสนใจ ได้แก่ ตะกร้าจากไม้ไผ่ ตะกร้าจากพลาสติก เบาะรองนั่งผ้ารองจาน ผ้ารองแก้ว เปลผ้า กระเป๋าผ้า ผ้าห่ม พรมเช็ดเท้า และไม้ถูพื้น อีกด้วย!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี